กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว … มีบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง ปลูกอยู่ไกลออกไปจากเมือง หลังบ้านเล็กๆ มีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่าน เจ้าของบ้านเป็นชาวนาไทยธรรมดา ที่มีความสุขกับการลงนา และปลูกข้าวไว้กินกันเองในครอบครัว  ปีไหนฝนดี น้ำดี ก็มีข้าวเหลือได้ขาย และชาวนาก็ได้มีเงินออม เผื่อสำหรับค่าหมอค่ายา แล้วก็ค่าเรียนของลูก

เย็นวันหนึ่ง … มีเสียงประหลาดดังกึกก้องมาแต่ไกล..บรึ้ม..บรึ้ม..บรึ้ม  แล้วก็ค่อยๆ ปรากฎรถยนต์คันนึง เลี้ยวพ้นออกมาจากโค้งถนน  รถคันนั้นแล่นเข้ามา แล่นเข้ามา ช้าๆ “คงหลงทาง” ชาวนาคิด “บ้านนอกแบบนี้ ใครจะมาทำอะไร”  ในที่สุด มันก็มาหยุดตรงหน้าบ้านของชายชาวนา

“โฮ้ย ร้อนๆๆๆๆ เหนื่อยด้วย ถนนหนทางทำไมถึงไม่ศิวิไลซ์เอาซะเลย โค้งไป เคี้ยวมา เวียนหัวจะตาย มีน้ำกินมั้ย โฮ้ยยย ได้ยินมั้ย หูแตกรึไง มีน้ำกินมั้ย”

ชาวนาผู้มีใจอารี ยังไม่ไถ่ถามอะไร ได้แต่ก็รีบกุลีกุจอ ตักน้ำฝนที่รองเก็บไว้ใส่ขันใบใหญ่ ไปรับรองแขกแปลกหน้า “ท่าทางหิวจัด ต้องเต็มขันหน่อย” แล้วก็รีบกึ่งเดิน กึ่งวิ่ง รีบเอาน้ำฝนใสๆ ไปรับแขก “อะไร ให้กินทั้งขันเนี่ยนะ ต้มหรือยัง หรือกรอง กินได้แน่นะ ท้องไม่เสียแน่นะ ถ้าท้องเสียละก็ น่าดู นี่ถ้าไม่หิวน้ำขนาดนี้ ก็ไม่กินหรอกนะ” ว่าแล้วคนแปลกหน้าก็ยกขันน้ำฝนขึ้นดื่มอย่างเสียไม่ได้ … น้ำฝน หวาน และเย็น เขารู้สึกชื่นใจอย่างที่ไม่เคยเจอจากน้ำแร่ หรือน้ำใส่ขวดที่ไหนๆ  เขาส่งขันใบใหญ่กลับไปให้ชายชาวนา พร้อมคำสั้นๆ ว่า “ขอบใจ”

“เขาหลงทางมา…” ชายชาวนาอธิบายให้แม่บ้าน และลูกฟัง “เขาเป็นแขก เราก็ต้องต้อนรับ ดูแลเขาหน่อยเถอะ”

คืนนั้น คนแปลกหน้าก็ได้อาศัยพักที่บ้านของชายชาวนา เขาพอใจกับการต้อนรับอย่างคนในครอบครัว เขาตื่นเต้นที่ได้ลงอาบน้ำในลำธารข้างบ้าน มื้อเย็น ชายชาวนาเลี้ยงรับรองด้วยปลาย่างที่จับได้จากลำธารใสหลังบ้าน กับน้ำพริกถ้วยเล็กๆ ที่แม่บ้านปรุงขึ้นอย่างง่ายๆ ยังมีผักที่เก็บจากรอบๆ บ้านเป็นผักแนม เขาเติมข้าวถึงสามชาม เขาลืมเรื่องน้ำหนักที่ต้องระวังอยู่เสมอตอนที่อยู่ในเมือง  หัวค่ำอากาศเย็นจนหนาว แต่ชายแปลกหน้าก็ยังสมัครใจจะนั่งที่นอกชาน เล่นกับลูกของชายชาวนา และหลับไปพร้อมกับเสียงน้ำไหล และเสียงจั๊กจั่น เขาแอบสุขใจกับบรรยากาศสงบๆ ที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้ว

เช้าวันต่อมา ชายชาวนาพาเขามาส่งที่ปากทางก่อนถึงถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ยังมีขนมที่แม่บ้านทำไว้เตรียมให้เขาเป็นเสบียงระหว่างทาง “รับไปเถอะ กว่าจะถึงในเมือง เอาไว้รองท้อง” 

คนแปลกหน้ากลับเข้าเมือง เขาเฝ้าคิดถึงความสงบที่ได้พบอย่างบังเอิญ “นี่แหละความสุข นี่แหละสิ่งที่เราหามานาน”  เขาเล่าเรื่องที่เขาหลงทางไปพบกับ …บ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง ปลูกอยู่ไกลออกไปจากเมือง หลังบ้านเล็กๆ มีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่าน เจ้าของบ้านเป็นชาวนาไทยธรรมดา ที่มีความสุขกับการลงนา และปลูกข้าวไว้กินกันเองในครอบครัว… เขาเล่าให้ญาติ มิตร และสหาย คนแล้วคนเล่า คนแล้วคนเล่า

ปีต่อมา เมื่อถึงวันหยุดประจำปี คนแปลกหน้ากลับไปที่บ้านชายชาวนา  เขาไปพร้อมกับญาติ มิตร และสหาย กลุ่มหนึ่ง

“เขาเป็นนักท่องเที่ยว…” ชายชาวนาอธิบายให้แม่บ้าน และลูกฟัง “เขาเป็นแขก เราก็ต้องต้อนรับ ดูแลเขาหน่อยเถอะ”

แม่บ้าน และลูกของชายชาวนาก็ต้องละจากงานประจำวัน เพื่อมาดูแลนักท่องเที่ยว

ทุกคนตื่นเต้นกับชีวิตธรรมดา ธรรมดา ของชาวนาไทยธรรมดา

ก่อนกลับเมือง นักท่องเที่ยวให้เงินชาวนาจำนวนหนึ่ง “เป็นค่าที่พัก ค่าอาหาร แล้วก็กิจกรรมที่น้องคนนั้นพาเราไป” พลางบุ้ยใบ้ปากไปทางลูกของชายชาวนา “นั่นลูกกระผมเองครับ”  

ชายชาวนา รู้สึกว่าการ “ดูแลนักท่องเที่ยว” ทำให้เขามีเงินออม เผื่อสำหรับค่าหมอค่ายา แล้วก็ค่าเรียนของลูก  ได้มากขึ้น ง่ายขึ้น และเร็วกว่าแต่ก่อน

ช่วงวันหยุดเทศกาลในปีต่อมา ชายชาวนา หยุดทำนาตรงที่สามแปลงใกล้ๆ บ้าน เขาถางหญ้า แล้วปลูกกระต๊อบคล้ายๆ กับแบบที่เขาอาศัยอยู่เองได้สามหลัง ทำป้ายเขียนด้วยสีน้ำมันบนแผ่นไม้ “ที่พัก สำหรับนักท่องเที่ยว”

ชายชาวนานับจำนวนรถที่แล่นเข้ามาๆ เรื่อยๆ อย่างดีใจ “ปีนี้คงได้เงินเก็บเยอะขึ้น”

เป็นไปอย่างที่ชายชาวนาคาด ปีนี้ นักท่องเที่ยวมามากขึ้นกว่าปีก่อน แม่บ้านของชายชาวนา เลิกทำงานประจำวัน เพราะต้องรับหน้าที่หุงหาอาหาร  บัดนี้ รอบๆ บ้านของชายชาวนาก็ไม่มีผักพื้นบ้านให้เก็บเสียแล้ว แม่บ้านต้องออกไปซื้อผัก และหมู และไข่ จากตลาด และที่แม่บ้านไม่เคยรู้จัก คือขนมปัง ที่นักท่องเที่ยวคนหนึ่งบอกว่าต้องกินในมื้อเช้า  ส่วนลูกก็มีหน้าที่ คอยดูแลพา “นักท่องเที่ยว” ไปดูชีวิตธรรมดา ธรรมดา ของชาวนาไทยธรรมดา และในตอนเย็น ลูกของชายชาวนาก็มีการแสดงธรรมดา ธรรมดา ของชาวนาไทยธรรมดา แต่ก็เป็นที่ถูกใจของนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความสงบแบบที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้ว

ชายชาวนาได้เงินค่าที่พัก เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า แต่เมื่อหักกับค่ารถไปตลาด ค่าผัก ค่าหมู ค่าไข่ และค่าขนมปัง เงินที่ชายชาวนาเก็บออมได้ในปีนี้กลับน้อยกว่าปีก่อน

“ไม่ได้แล้วนะ แบบนี้ เวลาชั้นทำข้าวกล่องให้นักท่องเที่ยว เราก็ต้องเก็บเงินด้วย ไม่อย่างนั้น จะเอาค่าหมู ค่าผักมาจากไหน” แม่บ้านของชายชาวนาบ่นๆๆๆๆ  ความเหนื่อยล้าจากการต้อนรับ “นักท่องเที่ยว” ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแม่บ้านใจอารี เป็นนักธุรกิจหญิง

ปีต่อมา สองเดือนก่อนจะถึงเทศกาลท่องเที่ยว ชายแปลกหน้ามาหาชายชาวนา “นี่แก ฉันพานักท่องเที่ยวมาให้แกถึงที่ ฉันควรจะได้ส่วนแบ่ง”  ชายชาวนาไม่เคยรู้จักค่าคอมมิชชั่น เขาไม่รู้ว่าคนจากในเมืองไม่เคยทำอะไรให้ใครเปล่าๆ “อะไรๆ ก็เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น  “ถ้าแกไม่ให้ส่วนแบ่ง ฉันจะพานักท่องเที่ยวไปที่อื่น” 

ชายชาวนาตกใจ ไม่ได้ ไม่ได้ ปีนี้ เขาลงทุนสร้างกระต๊อบใหม่เพิ่มอีกตั้งสามหลัง ข้าวก็ไม่ได้ปลูก ก็ไปเชื่อโรงสีมาเตรียมไว้เผื่อนักท่องเที่ยว ยังจะ ผัก หมู ไข่ แล้วก็ขนมปังอีกล่ะ ไม่ได้ ไม่ได้

ในที่สุด คนแปลกหน้าก็กลับมา อีกครั้งพร้อมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ใหญ่มากที่สุดเท่าที่ชายชาวนาเคยพบ ช่วงเทศกาลปีนี้ ชายชาวนาและครอบครัว เหนื่อยหนัก กับการดูแลนักท่องเที่ยว ไม่เว้นแม้แต่ลูกชายชาวนา “เอ้า เต้นสิแก เต้นให้ดู แบบชาวบ้าน ชาวบ้านนะ นี่อุตส่าห์ขนเครื่องเสียงมาด้วย ใหม่ล่าสุดเชียวนะ แกเคยเห็นมั้ยละ” “เอ้า เปิดเพลงดังอีกหน่อย” เสียงดังของเครื่องเสียงรุ่นใหม่ล่าสุด กระหึ่มไปทั้งแนวป่า  คืนนั้น พวกนักท่องเที่ยวที่ออกไปดูสัตว์ ก็กลับมาอย่างผิดหวัง “โธ่ ไหนว่ามีสัตว์ป่า หลอกกันชัดๆ ”

ชาวบ้านที่อยู่ท้ายน้ำลงไป บุกขึ้นมาต่อว่าชายชาวนา เพราะน้ำเสียที่นักท่องเที่ยวใช้แล้ว ก็ปล่อยลงลำธารใสๆ แห่งนั้นไป “กูทนมึงมาสองปีแล้ว มึงอยู่ต้นน้ำ มึงเอาน้ำไปดูแลเพื่อนมึง ให้มันกิน ให้มันใช้ แล้วก็ปล่อยน้ำเสียมา ข้าวของกูไม่มีน้ำ จะตายฉิบหายกันหมด” “แล้วยังเสียงดังนี่อีก มึงบอกเพื่อนมึงว่ากูต้องนอน พรุ่งนี้พวกกูต้องตื่นมาลงนาแต่เช้า”

ปีนี้ นักท่องเที่ยวกลับไปอย่างผิดหวังที่ไม่ได้ไปพบกับ ความสงบแบบที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้ว อย่างที่ได้ยิน ได้ฟังมา ไหนจะต้องทนกับความไม่สะดวกสบายอีกนานา “ทีวีก็ไม่มี กลางคืนเงียบจะตาย แอร์ก็ไม่มี เครื่องทำน้ำอุ่นก็บ้านนอกมากๆ ต้องรอเขาต้มน้ำเอามาผสมให้ทีละถังโอ๊ยยย บ้านนอกจริงๆ”  

ส่วนชายชาวนา บัดนี้ เขานั่งอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า ที่ดูแปลกหน้าไปกว่าทุกๆ ครั้ง “นี่ส่วนแบ่งของแก ฉันหักไว้เป็นค่ารถ ค่าอาหารก่อนมาถึงนี่ ค่าอะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ นี่แหละ เหลือเท่านี้ ของแก” ชายชาวนามองดูส่วนแบ่งที่วางกับพื้นเสื่อ มันดูน้อยกว่าปีก่อนเสียอีก คนแปลกหน้า ยังคงพูดต่อไป “เมื่อไหร่ แกจะพัฒนาซะที แกรู้จักรีสอร์ทมั้ย เมืองที่เจริญหนะ เขาต้องทำเป็นรีสอร์ท ให้มันสบายหน่อย นักท่องเที่ยวเขาชอบบบบ” “เครื่องไฟฟ้าหนะ แกก็ไปหามาติดให้เขาซะมั่ง”

ชายชาวนามองหน้าคนแปลกหน้า นิ่ง และนาน 

“ฉันไม่มีเงินไปซื้อของพวกนั้นหรอก”

คนแปลกหน้ายิ้มบางๆ ที่มุมปาก

“งั้นฉันให้ยืม ค่อยคืนปีหน้าก็ได้ ฉันค่อยมาคิดดอกเบี้ยพร้อมกัน” ว่าแล้ว คนแปลกหน้าก็หยิบเงินที่เขาเพิ่งแบ่งไป ส่งคืนให้ชายชาวนา “เอ้า ฉันให้ยืม”

 

ปล.  ใครทายถูกว่า …บ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง ปลูกอยู่ไกลออกไปจากเมือง หลังบ้านเล็กๆ มีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่าน อยู่ที่ไหน มีรางวัลให้ค่ะ