ขึ้นบ้านใหม่

ใส่ความเห็น

อยู่ที่บ้านลุงบิลดีๆ แกก็มาบอกว่าจะทุบบ้านทิ้งแล้ว ให้ย้ายออกมาอยู่ที่ word press นี่แทน ยังไงละเนี่ย ยังไง้ ป้าก็โลเทค ต้องมาเริ่มปะติดปะต่อใหม่อีกแล้ว นี่ละน้าอนิจจังของแท้ๆ เห็นจะๆ กันเลยทีเดียว  จะให้อะไรๆ มันอยู่คงที่คงทนนั้น เป็นม่ายยยยมี

เลี้ยงลูกให้มีต้นทุนชีวิต

3 ความเห็น

 

เหตุการณ์สมมติ: ในการสัมนาสู่ความเป็นเริ่ดขององค์กรแห่งหนึ่ง

“กิจกรรมแรกของการสัมนาวันนี้ ผมขอให้ทุกท่านเขียนข้อเสียของบริษัท และเพื่อนร่วมงานของท่านนะครับ ให้เวลาสิบนาที ไม่ต้องระบุชื่อนะครับ ขอให้เขียนเฉพาะเรื่องที่ไม่ชอบใจเท่านั้น…เชิญครับ”

ห้านาทีผ่านไป ก็เริ่มมีเสียงหึ่งๆ จากผู้ร่วมสัมนาที่เขียนเม้นท์และเม้าท์ องค์กร และเพื่อนร่วมงานเป็นที่เรียบร้อย

“ต่อไป กิจกรรมที่สองนะครับ ทำเหมือนเดิมครับ ขอให้ทุกท่านเขียนข้อดีของบริษัท และเพื่อนร่วมงานของท่านนะครับ ให้เวลาสิบนาทีเท่ากันครับ เชิญได้เลยครับ”   

ห้านาทีผ่านไป…ทุกคนยังคงขมวดคิ้ว บางคนเริ่มเขียนได้บ้าง แต่ไม่ไหลลื่นเหมือนกิจกรรมแรก จนกระทั่ง สิบนาทีหมดไป บางคนส่งกระดาษเปล่า!

หวังว่าเรื่องตามตัวอย่างข้างบนนี้ คงไม่เกิดขึ้นกับองค์กรที่รักของเรา 

เมื่อเดือนที่แล้ว ป้าได้ไปฟังคุณหมอเดว (นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สำนักงาน สสส.)  บรรยายในหัวข้อ “เลี้ยงลูกให้มีต้นทุนชีวิต” ค่ะ  คุณหมอเดว และแก๊งเด็กพลัส  กำลังรณรงค์งานใหญ่ยักษ์ชิ้นนี้ เพื่อกระตุ้นและเตือนคุณพ่อคุณแม่ รวมไปถึงครู หรือใครๆ ที่มีพันธกิจในการเลี้ยงดูเด็กๆ ของชาติในวันนี้ ให้หันมาใส่ใจกับการสร้าง “ต้นทุนชีวิต” ให้เด็ก  

ทำไมต้องคุยกันเรื่องนี้เหรอคะ ก็เพื่อที่ลูกหลานของเราจะไม่หันไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงไงล่ะ นั่นหนะอนาคตของประเทศเราทั้งหมดนี่เลยทีเดียวนะ  ที่สำคัญ ก็พวกเขานี่แหละที่จะช่วยกันดูแลสมาชิก สว. (สูงวัย) ในอนาคตซึ่งก็คือพวกเราเอง  ลองจินตนาการดูนะคะ ถ้าเด็กของเรากลายเป็นเด็กแว๊นไปซะก้อนนึง ติดเกมส์อีกกลุ่มนึง มีลูกตอนที่ยังไม่พร้อมอีกก้อนนึง แล้วใคร้ จะมามีสติสตัง คิดว่าจะขับเคลื่อนประเทศชาติให้เป็นประเทศที่มีความสุขมวลรวมประชาชาติสูงที่สุดในโลกได้เล่า 

หมอเดว เป็นหมอเด็กค่ะ แล้วก็ได้ฟังเรื่องของเด็กๆ มาเย้อะ แล้วป้าก็เชื่อว่าเราๆ เองที่เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ก็ได้ยิน ได้ฟังปัญหาของเด็ก ที่ไม่ได้เป็นเรื่องเล็กๆ อีกต่อไป  เรามีเด็กที่ไล่ล่าเพื่อนต่างโรงเรียนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ข่มขู่จนเพื่อนต้องกระโดดน้ำหนี และจมน้ำเสียชีวิต  เรามีเด็กที่เป็นแก๊งซิ่งกวนเมือง เด็กผู้หญิงของเรามีการเก็บคะแนนแข่งกันว่าล่าเพื่อนชายไปได้กี่คน เรามีเด็กที่ติดเกมส์ใช้ชีวิตเติบโตในร้านเน็ต แล้วบางคนก็ถูกล่อลวง ลักพาตัว  พวกนี้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราเลย ที่น่าสังเกตุ คือฐานะทางบ้านที่ดีขึ้น ไม่ได้ช่วยให้พฤติกรรมของเด็กดีขึ้น เรามีเด็กที่ใช้ยาเสพติดในทุกระดับชั้น เด็กที่บ้านมีฐานะร่ำรวยก็เคยโดนจับข้อหาลักโขมย แล้วเมื่อวานนี้เองที่ป้าเจอเข้ากับตัวเอง คือเด็กวัยรุ่นกลุ่มนึง แต่งตัวดี หน้าตาน่ารัก กินอิ่มแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้น้องบริกรยืนหน้าซีดคนเดียวตามลำพัง ป้าว่าสังคมเรามันอาการหนักแล้วจริงๆ นะ 

มันเกิดอะไรขึ้น?

ปัญหาแบบนี้ หมอเดวเธอว่าเป็นเพราะสังคมของเราเปี๋ยนไป๋ เทคโนโลยีที่เข้ามาในชีวิต วิถีการดำเนินชีวิต ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วไปหมด แล้วเด็กๆ ก็ตามไม่ทันกับสัมพันธภาพที่เปลี่ยนไป “เราแย่งกันอยู่ แย่งกันกิน แย่งกันเรียน แย่งกันทำมาหากินอย่างโกลาหล สับสนไปหมด พ่อแม่ก็เลยเลี้ยงลูกเป็นหุ่นยนต์ ขาดความเอื้ออาทร ความเข้าใจพัฒนาการ สร้างความคาดหวังมากจนเกิดความเครียด เด็กและเยาวชนก็ต้องเคร่งเรียน ใครเรียนได้ก็เรียนไป ใครเรียนไม่ได้ก็ต้องถอยไป ส่วนผู้ใหญ่ก็ต้องเคร่งกับการทำงานหาเงิน การวัดคุณค่าของคนจึงต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง ต้นทุนชีวิตที่มีอยู่ก็ถูกบั่นทอนจนเด็กบางคนเหลือต้นทุนชีวิตน้อยมาก ที่จะต่อสู้กับภยันตรายและภัยจากสังคม เกิดผลผลิตที่มีความเสี่ยงมากมาย”

 ป้าว่าอย่าไปว่าแต่เด็กๆ เลย เราโตๆ กันแล้วนี่ก็ยังงงอยู่ไม่ใช่น้อย แล้วมันก็ทำให้เกิดปัญหาอย่างที่เราเจอในที่ทำงาน แบบตัวอย่างแรกข้างบนนั่น ที่คนในองค์กรเดียวกัน คอยแต่จับผิดกัน แต่จับถูกไม่เป็น แล้วก็พาลทำให้การทำงานร่วมกันมีปัญหา นี่ยังไม่นับความไม่มีวินัย ความไร้คุณธรรม ขาดจริยธรรมกันอีก โอ้ว นี่มันเรื่องใหญ่ม้ากนะเนี่ย  ปัญหาแบบนี้มันมีพื้นฐานจากเรื่องเดียวกันเลยนะ คืออาการต้นทุนชีวิตบกพร่องล่ะ ก็เลยจะเล่าว่าต้นทุนชีวิตคืออะไรกันก่อน

ทุนของคนเรานี่ หมอเดวเธอแบ่งเป็นสามก้อนใหญ่ๆ อันแรกก็คือ “เงิน” แหงล่ะ! อันนี้ง่าย พ่อแม่ก็รับหน้าที่หลัก หาเงินตัวเป็นเกลียว ก็จริงที่พอมีเงินทำอะไรมันก็ง่าย แต่ใช่ว่าจะรับประกันความสุขได้นะ ป้ามาคิดดู เรื่องที่ใช้เงินซื้อส่วนมากก็เพื่อความสะดวก แต่ไม่ใช่ความสุขนะ 

อันที่สองคือ “การศึกษา” บ้านไหนๆ ก็อยากให้ลูกได้เรียนดีๆ เรียนสูงๆ เพื่อที่ว่าจะได้มีงานดีๆ ได้เงินเยอะๆ มีชีวิตสุขสบาย  ดังนั้น โรงเรียนกวดวิชาจึงเกิดขึ้นมากมาย คุณครูที่ดังๆ ถึงกับต้องสอนด้วยวีดิโอ พ่อแม่ต้องไปยืนต่อคิวแต่เช้ามืดเพื่อให้ลูกได้เรียนกับเขาด้วย แต่ช้าก่อน คุณเชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้หลวงท่านเพิ่งได้สติกันว่า ระบบการศึกษาของชาติเราเนี่ย มันไม่เวิร์คฮ่ะ o_O! แม้กระทั่งวิชาพละ ที่เมื่อก่อน ครูอะไรๆ ก็สอนพละได้ เขาก็เพิ่งมีผลการวิจัยออกมาว่า การสอนวิชาพละที่เราทั้งหมดเรียนมาเนี่ยมันไม่ถูกหลัก แล้วมันก็มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก เขากำลังเริ่มฝึกอบรมครูพละกันใหม่หมด ย้ำว่าเพิ่งเริ่มนะคะ เข้าใจว่าโครงการนำร่องจะอยู่ที่สมุทรปราการค่ะ ครูพละกล้าตายที่มาอบรมไปรุ่นแรกๆ นี่ ก็ยอมรับกันว่ายังกระโดดไม่ถูกวิธีเลย  ไม่เท่านั้นค่ะ วันก่อนป้ารบกับลูกเรื่องการบ้าน ก็มีปัญหากันเรื่องอักษรนำ และคำควบกล้ำ คุณรู้หรือไม่ว่าเด็กๆ เขาเรียน ห นำต่ำเดี่ยว กลางสูงนำต่ำเดี่ยว อักษรนำตามกันเอง @%$%*&*^*&%$%$#)-+(*&%#)*&%$%_* ฮ่วย!  ป้าแค่อ่านก็งงไปแปดตระหลบ สอนการบ้านลูกไม่ได้ ป้าก็ต้องพึ่งดอคเตอร์กูอีกเหมือนเดิม กูไปกูมา เจอครูคนนึงที่เข้ามารำพึงขอความช่วยเหลือ เรื่องเดียวกัน เพราะครูก็งงเหมื้อนเราเรยยยย 55555 งานนี้ แม่ลูกยิ้มออก เพราะเราไม่ได้มึนกันตามลำพัง  หมูปันถึงกับรำพึงขึ้นมาอีกครั้งว่า เฮ่อออ ทำไมปอสี่แล้วมันระทมอย่างนี้…นี้นี้นี้นี้นี้ (เอคโค่ค่ะ)  

เช่นนั้นแล้ว เราคงวางใจไม่ได้นะ ว่าถ้าลูกเราสอบได้คะแนนเต็ม แล้วจะแปลว่าเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างมีความสุข  ป้าว่า ระบบการศึกษาบ้านเราไม่ได้รับประกันอะไรอย่างนั้นนะ แต่ที่แน่ๆ เด็กๆ จะต้องแหยงเรื่องต่ำเดี่ยว ต่ำคู่อะไรนี่ไปอีกพักใหญ่แน่ๆ

 ดังนั้น เราจึงต้องมีตัวช่วยตัวที่สามนี่ล่ะค่ะ นั่นก็คือ ต้นทุนชีวิตที่หมอเดวเธอห่วงเหลือเกิน  “ต้นทุนชีวิต คือ ต้นทุนพื้นฐานที่มีผลต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจ สังคม สติปัญญา ให้คนๆ หนึ่ง สามารถดำรงชีพอยู่ในสังคมได้อย่างเข้มแข็ง ต้นทุนชีวิตเป็นปัจจัยสร้าง หรือเป็นปัจจัยเชิงบวกด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม ที่จะหล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่ง เจริญเติบโต และดำรงชีพอยู่ในสังคมได้” กรุณาอ่านซ้ำอีกครั้ง! อันนี้สำคัญ เพราะเรากำลังพูดถึงสิ่งที่เด็กๆ ต้องมี เพื่อให้เขาอยู่ได้ และถ้าเขาอยู่ได้ เราก็นอนตายตาหลับนะ ว่ามั้ย?  

แล้วต้นทุนชีวิตนี่มันมาจากไหนละ ท่านก็ว่า มันมาจาก 5 พลัง ประสานกันอย่างกับยอดมนุษย์ 5 สีทีเดียว ก็ได้แก่ พลังตัวตน พลังครอบครัว พลังชุมชน พลังสร้างปัญญา พลังเพื่อนและกิจกรรม อันนี้ทำนองจิตอาสานะคะ ความหมายของยอดมนุษย์แต่ละสีนี่ ป้าแปะไว้ตอนท้ายเรื่องนี้นะคะ ตอนนี้ป้าขอข้ามไปเล่าเรื่องที่ว่าแล้วจะทำไง ให้ลูกเรามีต้นทุนที่ว่านี่ได้ล่ะ

 เรื่องแรกที่โดนใจมากเลยคือเจ้าชายกบค่ะ หมอเดวเธอว่า ลูกๆ เรานี่นะ ตอนคลอดมาใหม่ๆ ทุกคนเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงกันหมด เลี้ยงไป เลี้ยงมา ทำไม้ กลายเป็นกบไปได้ แบบว่ายิ่งเลี้ยงยิ่งอ่วมล่ะค่ะ  

เด็กทุกคนไม่ได้เป็นผ้าขาวนะคะ เขาเป็นผ้าสีพื้นค่ะ แต่ละคนต่างกัน เขามีพื้นฐานอารมณ์ แตกต่างกัน บางคนไว บางคนช้า บางคนชอบเข้าหา บางคนจะถอยห่าง เด็กแต่ละคนมีการปรับตัวต่างกัน ความอดทน ต่างกัน การตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน มีสมาธิ และความสนใจต่อสิ่งต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน แต่ไม่มีอะไรผิดน่ะ แล้วใครล่ะที่จะรู้เรื่องพวกนี้ ได้ดีกว่าพ่อแม่ของเขาเอง เรารู้หมดว่าลูกมีปานกี่ปื้น มีไฝกี่เม็ด เราก็ต้องรู้จักหัวใจของเขาด้วย 

การจะทำความรู้จักหัวใจของลูก ก็ต้องทำด้วยการฟังค่ะ ฟังด้วยหัวใจของเรา ฟังแบบ “จับถูก” ป้อนคำถามปลายเปิด คลุกวงใน  โดยธรรมชาตินี่ เด็กๆ เขาจะต้องการพ่อแม่น้อยลงเรื่อยๆ นะคะ พอเขาอายุซัก 3-6 ขวบ เขาก็จะคิดอยากทำ หรือไม่อยากทำอะไรๆ ได้ด้วยตัวเองแล้ว เราก็จะเห็นว่าลูกดื้อ ท้าทายคำสั่ง  เราก็ต้องเปลี่ยนจากผู้ปกครอง ไปเป็นกองเชียร์นะคะ ต้องดูค่ะ แต่ดูห่างๆ ปล่อยให้เขาคิด แล้วก็ให้กำลังใจ เวลาลูกเล่าอะไรให้ฟัง ก็ถามเขาต่อไปๆ เช่นว่า แล้วลูกคิดยังไงกับเรื่องนี้ แล้วเราจะทำยังไงกันดี แล้วสังเกตว่าทักษะการคิดของลูกเป็นอย่างไร ถ้าลูกเราอยู่ในร่องในรอย เราก็สบายใจได้ แบบนี้เขาก็จะมั่นใจขึ้นด้วยว่าพ่อแม่เคารพความคิดของเขา เขาก็จะเกิดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นๆ  ส่วนผู้ใหญ่ก็คอยเสริมส่วนดี หรือคอยดึงเมื่อเห็นว่าเด็กของเราชักจะคิดออกนอกแนว

ป้าจำใส่กระหม่อมไว้เลยค่ะว่า อำนาจของพ่อแม่ แบบที่จะสั่งลูกทำนั่นทำนี่ มีไว้เพื่อปกป้องลูกให้ปลอดภัยเท่านั้น ไม่สามารถสั่งให้เขาดำเนินชีวิตแบบที่เราต้องการได้เลย แบบนั้น ก็จะกลายเป็นพ่อแม่เผด็จการไปนะคะ ไม่ได้ๆ เดี๋ยวลูกกลายเป็นเด็กเก็บกด แล้วไปออกทางอื่นจะยุ่งกันใหญ่

แต่การเลี้ยงลูกแบบเป็นประชาธิปไตยนี่ ก็ไม่ใช่การเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์นะคะ ไม่ใช่ให้ลูกโตเอง ทำอะไรได้เองตามใจชอบไปหมด การเลี้ยงแบบประชาธิปไตย จะต้องมีวินัยค่ะ เด็กๆ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกิน การนอน และการเล่น เราก็ต้องแทรกซึมไปค่ะ เขาต้องมีวินัยในการกิน วินัยในการนอน แล้วก็วินัยในการเล่น การมีวินัยก็คือมีกติการะหว่างกัน อย่างถ้าจะเล่นก็ต้องทำการบ้านก่อน แล้วจะเล่นได้นานเท่าไหร่ แล้วถ้าทำผิดกติกาก็ต้องโดนลงโทษตามข้อตกลง ไม่มีออมมือกันล่ะ เพราะเขาต้องรู้จักความผิดหวังด้วย ความผิดหวังเป็นจุดท้าทายให้เด็กๆ พยายามพัฒนาตัวเอง เขาจะต้องเรียนรู้ และปรับปรุงตัว เพื่อที่ว่าคราวหน้าเขาจะไม่ผิดหวังอีก เรื่องที่ป้าคิดว่าสำคัญในข้อนี้ คือผู้ใหญ่เองก็ต้องมีวินัยด้วย ไม่งั้น ลูกมันก็จะย้อนเอาได้ว่า พ่อแม่สองมาตรฐานนี่นา

ความเป็นประชาธิปไตย นอกจากจะต้องมีวินัยแล้ว ยังต้องเข้ากันได้กับสังคมและวัฒนธรรม ต้องเป็นที่ยอมรับของส่วนรวม และต้องเคารพสิทธิของคนอื่นๆที่อยู่ร่วมกันด้วย การสอนลูกของเราเรื่องสิทธิ ก็เพื่อที่เขาจะยอมรับความแตกต่างของคนอื่นได้ เพราะเขาเองก็ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เช่นกัน ไม่ใช่รับได้เฉพาะคนที่เห็นเหมือนตัวเอง หรือรับได้เมื่อตัวเองมีสิทธิเหนือคนอื่น เขาต้องรู้ด้วยว่าสิทธิ มาพร้อมกับหน้าที่เสมอ และสมาชิกทุกคนที่อยู่ร่วมกัน ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งนั้น   

คุณหมอได้สรุปคุณสมบัติของพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีปัญหากับลูกไว้ 7 ข้อค่ะ

1.      รัก อบอุ่น และไว้วางใจ

2.      มีการสื่อสารที่ดีต่อกัน ไว้วางใจ มีการปรึกษาหารือ หรือเล่าเรื่องที่ประสบมาให้กันฟัง ยอมรับฟังความคิดเห็นกัน

3.      มั่นคง มีหลักการ มีเหตุผล ยืดหยุ่นได้ด้วย

4.      ควบคุมตนเองได้ดี ทั้งอารมณ์ และพฤติกรรม

5.      เรียกร้อง แสดงความต้องการให้เด็กเติบโตสมวัย

6.      ยอมรับความสามารถของเด็ก

7.      ยอมรับความสามารถของตัวเอง

โอ! ดูเหมือนยากนะ แต่รวมๆ มันก็คือ การเลี้ยงดูด้วย “ความเอาใจใส่” ละค่ะ  สมัยก่อน ครอบครัวใหญ่ก็มีคนช่วยเอาใจใส่ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็อยู่ในสายตา สมัยนี้ ใครยังมีครอบครัวใหญ่ก็ถือว่าโชคดีนะ เพราะครอบครัวเดี๋ยวนี้เล็กลงทั้งนั้น แล้วทุกคนก็ยุ่ง ทำงานกันหนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็จะละเลยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ยังต้องให้ความสำคัญ แล้วก็แบ่งเวลาให้ลูก ก็คงต้องฝึกกันไปนะคะ ฝึกไปด้วยกันกับลูกนะแหละ เราโตกว่าเขา ก็ต้องลงแรงมากกว่าเป็นธรรมดา ก็มีเขามาแล้วนี่นา ก็ต้องเลี้ยงและดู ทั้งตัวแล้วก็หัวใจนะ  ความอบอุ่นในครอบครัว ก็จะเป็นรากฐานสำคัญ ให้ลูกเรารู้จักคิด วิเคราะห์ คิดถึงขั้นตอน คิดถึงผลที่จะตามมา ก่อนลงมือทำ

ป้ากับป๊าหมู เดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับคำสองคำค่ะ “ฟังด้วยหัวใจ” และ “จับถูก” ที่เราเก็บไว้เตือนตัวเองเสมอเวลาจะเริ่มเม้งกับเจ้าเด็กแสบที่บ้านค่ะ (^_^)..Y

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

5 พลังสร้างต้นทุนชีวิต

1. พลังตัวตน เป็นการรวมพลังคุณค่าในตนเอง พลังสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นในตนเอง และพลังการสร้างทักษะชีวิตอันได้แก่ การอยู่ในสังคมอย่างสันติสุข การช่วยเหลือผู้อื่น การมีจุดยืนที่ชัดเจน รักความยุติธรรม ไม่แบ่งแยกชนชั้น ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ การมีวินัยในตนเองที่จะไม่ข้องเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยง

2. พลังครอบครัว เป็นพลังความรัก ความเอาใจใส่ วินัยและการมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง มีการติดตามและช่วยเหลือที่เหมาะสมเชิงบวก มีปิยวาจาในบ้าน มีความอบอุ่นและปลอดภัย

3. พลังสร้างปัญญา เป็นพลังความมุ่งมั่นในการเพิ่มพลังปัญญา ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบการศึกษา รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น

4. พลังเพื่อนและกิจกรรม เป็นพลังการทำกิจกรรมในหมู่เพื่อนๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน เกิดวินัยในหมู่เพื่อน เช่น กิจกรรมออกกำลังกาย การเล่นกีฬา สันทนาการนอกหลักสูตร

5. พลังชุมชน เป็นพลังของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้ออาทร มีความเข้าใจ เป็นมิตรไมตรี มีวินัยและเป็นแบบอย่างที่ดี มีปิยวาจา มีจิตอาสา มีความอบอุ่นความปลอดภัยภายในชุมชน และมีกิจกรรมร่วมกัน

 

หาอ่านบทความดีๆ เรื่องการเลี้ยงเด็ก เว็บไซท์ DekPlus นะคะ

ดุจดังต้นไม้ในจักรวาล ภาคสอง

8 ความเห็น

 

ดีใจจัง ในที่สุดเราก็ผ่านวันโลกาวินาศมาได้ โดยที่โลกไม่แตกนะ ป้าว่าถ้ามันจะเป็นวันโลกาวินาศอะไรซักอย่าง ก็คงเป็นเรื่องที่คนกรุงออกมาชอบปิ้งช่วยชาติกัน จนบันดาลให้รถติดกันโลกาวินาศนะแหละ  ป้าก็ไปนะ เพราะงานลดแหลกนี่มาจัดอยู่ติดกับงานวิทยาศาสตร์พอดี๊ ^_^  ที่งานวิทย์ฯ นี่เขาเอาหุ่น iFairy หน้าตาคล้าย Asimo นะ แต่มันจ๊ะจ๋าเหลือเกิน พูดจ๋อยๆๆๆๆ แล้วมีหุ่น Actroid ที่คาดว่าคงเป็นหุ่นที่สวยที่สุดแล้วในกำลังนี้นะ เขาพัฒนาผิวหนังให้คล้ายหนังเรานะ หน้าตา รูปร่างก็เช้งระดับนางแบบทีเดียว มีการประกวดหุ่นแล้วก็โครงงานวิทยาศาสตร์ของเด็กนักศึกษาที่เขาคิดพัฒนากัน ป้าว่ามันน่าดีใจที่ส่วนมากเขาก็มักจะคิดเครื่องมือช่วยผู้พิการนะ บางอันก็เป็นเรื่องเล็กๆ ที่เราคิดไม่ถึง อย่างเครื่องช่วยเปิดหน้าหนังสือสำหรับผู้พิการที่มือ แบบนี้ผู้พิการก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  งานแบบนี้ถ้าไม่มีเด็กที่บ้านก็คงไม่คิดว่าจะมาดูกัน พอมีเด็กก็ทำให้ความพยายามในการทำอะไรๆ เพิ่มขึ้นได้มากนะคะ  

  เจ๊คนนี้ชื่อ Actroid ค่ะ  แก๊งเด็กเนิร์ด

  เค้ามุงดู iFairy กันค่ะ

จะว่าไป ที่บ้านป้าก็มีเหตุโลกาวินาศอยู่เหมือนกัน  จำต้นไม้ที่ระเบียงที่เคยเล่าให้ฟังได้มั้ยค่ะ ที่มีมะเฟือง โมก ปีบ แล้วก็ซานาดูน่ะ ตั้งแต่เรากลับจากวันหยุดสงกรานต์ทุกต้นก็พากันกะปลกกะเปลี้ย เหลือแต่ใบแห้งๆ ติดคาต้น  ป้าก็จัดการตัดกิ่งออกบ้าง รูดใบกรอบๆ ทิ้งไป รดน้ำชุ่มๆ ไม่นาน ท่านๆ ก็เริ่มฟื้น แตกใบกันใหม่ ต้นโมกจอมพลัง ตอนนี้ก็ออกดอกแล้ว แต่แม่มะเฟืองขวัญใจมหาชนของป้านี่สิ ยังไม่ฟื้นเลย จนป่านนี้แล้วก็ยังเหลือแต่ต้นโด่เด่ ท่าจะแย่ซะแล้ว เหมือนคนเลยเนอะ ยิ่งมีคนเอาใจใส่ดูแลมาก ก็พาลจะกลายเป็นคนเปราะบาง อะไรๆ ก็จะกระทบกระเทือนจิตได้ง่าย

ดูๆ แล้ว ก็เห็นว่าต้นไม้นี่มันก็ชักจะเหมือนคนเอามากๆ  แล้วยิ่งสังเกตมากขึ้น ก็ยิ่งเห็นว่าที่เราเรียนกันมาว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตนี่ มันไม่ธรรมดานะ  ป้าหมายว่า มันก็มีชีวิตจิตใจจริงๆ อย่างกับคน เคยได้ยินมั้ยคะ เรื่องลุงที่ทำไร่ผักสลัดอยู่ที่วังน้ำเขียว แกตั้งวงร้องเพลง กล่อมต้นไม้กันแบบเอาจริงเอาจังนะ ป้าเคยไปดูต้นไม้ของลุงมาแล้ว ก็ดูเบิกบาน ไม่มีเหี่ยวเหลืองให้เห็นกันแม้แต่น้อย งานนี้ จะว่าคนเลี้ยงอารมณ์ดี พาให้ดูแลต้นไม้ทั่วถึงก็ได้ หรือจะว่าต้นไม้มันฟังเพลงได้จริงๆ ก็คงจะว่าได้เหมือนกัน  ถ้าเทียบกับคน ก็คงเป็นพวกต้นไม้ศิลปินนะ ชอบอะไรที่มันสุนทรีย์ๆ หน่อย  แล้วป้าก็คิดลามต่อไปถึงต้นอื่นๆ อย่างต้นไผ่ ต้นอ้อย คงเป็นแนวโตอย่างเดียว “กูขอไปก่อน” อะไรแบบนั้น ไผ่นี่โตเร็วมาก แต่ก็ไม่มีให้ร่มให้เงาอะไรกับใคร ต้นก็มีขุยเล็กๆ ตำมือได้อีก เป็นแนวป้องกันตัวเองสุดฤทธิ์ละ หรืออย่างกล้วยที่มักจะเป็นไม้นำร่อง คิดอะไรไม่ออกก็ปลูกกล้วยไว้ก่อน เก็บความชื้นดี ให้ร่มกับต้นไม้เล็กๆ ได้ดี โตไว แต่ก็นั่นละค่ะ มันตายไวเหมือนกัน  ไม่แน่ใจว่าใครจะมาอิงอาศัยได้บ้างนอกจากนางตานีนะ  อีกกลุ่มก็เป็นพวกมะพร้าว หรือตาล แบบนี้อยู่นาน ลูกอร่อย แหม…แต่กว่าจะได้กิน ยากเย็นแท้ๆ     

แต่ที่มาจาระนัยกันนี่ ก็ไม่ใช่ว่าจะขัดใจไปซะหมด แต่ที่คิดก็เพราะรู้สึกว่ามันช่างเหมือนคนอะไรอย่างนี้ ต้นไม้ทุกชนิดมีประโยชน์ทั้งนั้นเพียงแต่ว่า เขาก็มีแนวการทำประโยชน์แบบเขาเอง บางต้นควรจะอยู่เรี่ยพื้น คลุมดินให้นัวๆ ไว้ ต้นอ่อนก็จะได้อาศัยร่มโตได้ บางต้น ก็เหมาะสำหรับเป็นแนวหน้าแบบปลูกแป๊บเดียวได้ใช้แล้ว ไม้พวกนี้มักจะโตไว แต่ไม่ค่อยให้ร่มนะคะ ส่วนไม้ที่ให้ร่มนี่ก็จะคิดถึงไม้ยืนต้นนะ ต้องเป็นพุ่มๆ ต้นใหญ่หน่อย มีลูกก็ได้ แต่ไม่เอาลูกแบบทุเรียนนะ มันเร้าใจเกินไป  ต้นที่เป็นขวัญใจป้าเลยก็ต้องเป็นต้นโพธิ์นะคะ ใบใหญ่ กิ่งก้านสาขากระจายไปทั่ว ขึ้นง่าย แบบว่าอยู่ง่ายกินง่ายอะไรอย่างนั้น แล้วอายุยืนยาว เคยอ่านหนังสือเจอว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งตอนตรัสรู้นี่ มีอายุยืนยาวตั้ง 352 ปีเชียวนะคะ ถ้าไม่มีคนทำลายไปซะก่อน ก็คงจะอยู่ต่อมาได้เรื่อยๆ เพราะยังมีต้นต่อๆ มา ที่เอาลูกของต้นเดิมมาปลูกก็อยู่มาได้ตั้งพันสองร้อยกว่าปีแน่ะ

ก็อย่างที่ว่าล่ะคะ ต้นไม้ทุกอย่างต่างก็มีประโยชน์ในแนวของตัว มากบ้าง น้อยบ้าง บางอย่างมีอาวุธดูแลตัวเองได้ บางอย่างก็พอจะดูแลสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างอื่นได้ แต่บางอย่างก็ดูแลสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ให้สุขสบายได้เป็นจำนวนมาก  ถ้าเป็นคน แล้วเป็นให้ได้อย่างต้นโพธิ์ก็คงดี ถึงมันจะใช้เวลานานกว่าจะใหญ่โต แต่ถ้าโตแล้วมันจะมั่นคง อายุยืนยาว ที่สำคัญกิ่งก้านที่แผ่ออกไป ก็จะค้อมโค้ง อ่อนโยน แผ่กิ่งออกไปทั่วๆ ให้ร่มเงากับสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นได้ทั่วถึง ก็ดูจะมีความสุขดีนะคะ ^_^

 

มาเล่นกันๆ  สืบเนื่องจากครั้งก่อน มีคนถามมาว่าตกลงตึกที่ป้าพูดถึงนี่คือตึกไหนกันนี่ ป้าเลยคิดว่ามาเล่นกันดีกว่า ให้ทายนะให้ทาย มีรางวัลด้วยนะเออ ตอนนี้มีเลนส์โลโมแบบที่ใช้แปะกล้องมือถือถ่ายรูปออกมาเป็นประกายๆ นะ ให้ 2 คนเลย เอาคนที่ทายมาคนที่ 1 กับคนที่รองสุดท้ายนะคะ ส่งคำตอบว่าตึกคู่อริของป้า คือตึกไหนกันแน่ ส่งทางคอมเม้นท์ข้างล่างนี่นะคะ เอาถึงวันที่ 29 มิถุนานี่ละกัน ทายมาน้าาาาา 

ใด ใด ในโลกล้วน อนิจจัง

8 ความเห็น

              

         บ้านรังนกของป้านี่นะ ตอนที่เรามาซื้อเมื่อเกือบสิบปีก่อน วิวตรงระเบียงนี่เป็นพาโนรามาเลยเชียว มองออกจากระเบียงไปไกลๆ เราก็จะเห็นท้องฟ้าได้กว้างเต็มตา บ้านข้างๆ มีสนามหญ้า มีชมพูพันธ์ทิพย์ปลูกอยู่หลายต้น ตอนนั้นน้องชมพูเธอยังไม่สูงเท่าไหร่ เวลาเธอออกดอก เราก็ได้ดูกันใกล้ๆ เวลาดอกร่วง ใบร่วง เราก็ไม่ต้องกวาด สบายใจแท้ๆ   

 

แต่จะว่าไป ก็ใช่ว่าจะได้ชื่นชมวิวที่ว่านี่กันบ่อยหรอกนะคะ เราไม่ค่อยได้อยู่บ้านกัน จะมีบ้างนานๆ ที ก็ตอนเย็น ที่เราจะได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ขอบไกลๆ นู่น บางวันเป็นสีส้ม บางวันก็ชมพูแจ๋น เป็นปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่เราเคยเห็นนะ…แต่ก็เฉยๆ  งานนี้เข้าตำราที่เขาว่า เห็นแต่ไม่ได้ ดูนะแหละ ไม่ซาบซึ้งกับอะไรแบบนี้  

อยู่มาวันหนึ่ง เราก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมเริ่มก่อตัวขึ้นมาที่ขอบฟ้าด้านนั้น (o_O)!  เป็นไปไม่ด้ายยยยย….นั่นนะสิ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปห้ามความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องที่มันไม่ได้เกี่ยวกับเราเอาซะเลย  ในที่สุด เราก็เห็นเครนก่อสร้างขนาดใหญ่ตั้งขึ้นมา แล้วมันก็สูงขึ้น… สูงขึ้น… ทั้งกลางวัน แล้วก็กลางคืน พร้อมๆ กับการก่อตัวของอาคารหลังใหญ่  เราก็เฝ้ามองตึกที่สูงขึ้น พร้อมกับการจากไปของพาโนราม่า ของช้าน’ T_T  จำได้ว่าช่วงนั้นหงุดหงิดกับเจ้าของตึกนี่มาก อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร อยากรู้ว่าทำไมช่างกล้าสร้างโครงการขนาดนี้มาบังทัศนียภาพของบ้านรังนกของชั้น  อืมม์…ตอนเขายังไม่สร้าง ก็ใช่ว่าจะได้รื่นรมย์กับความงามของท้องฟ้าด้านนั้นซักกี่มาน้อย  

ราวๆ สองปีนะ ตึกนั่นก็เสร็จจนได้ …อย่างกับจะห้ามเขาได้เนอะ… พร้อมกับการจากไปของพาโนฯ ของป้า ก็เขาเล่นสร้างตั้งสามสิบชั้น หมดกัน วิว เวิว อะไรก็ไม่มีเหลือ 

ป้าเฝ้าดูตึกนั่นทุกวันๆ จนลืมไปว่าตอนนี้น้องชมพูเขาก็สูงขึ้นมาจนเลยระเบียงบ้านเราไปแล้ว หลังๆ มานี่เวลามองออกไปนอกระเบียง ก็ไม่ได้มองไปสุดตาอย่างเมื่อก่อน เพราะจะต้องมาสะดุดกับแถวของน้องชมพู แล้วก็จะเห็นรังกาตามปลายกิ่งนั้นที กิ่งนี้ที ตอนนี้ก็สี่รังเข้าไปแล้ว บางวันก็คอยดูกามันจีบกัน บางวันก็เห็นกระรอกแอบปีนขึ้นไปใกล้ๆ รังกา ก็มีการปะทะกันบ้าง แล้วยังมีนกสีเหลืองเข้มๆ เสียงแหลมๆ  ที่บางวันก็แหลมบินบุกขึ้นมาถึงต้นไม้ที่ระเบียงบ้านเรา เล่นเอาป้าต้องนั่งให้นิ่งที่สุด เพราะกลัวมันรู้ว่ามีคนอยู่… แล้วป้าก็รู้สึกชิน ชิน ไป กับตึกยักษ์ขวางหูขวางตาหลังนั้น  

เพิ่งมาเมื่อสองสามเดือนหลังมานี่เองค่ะ ตอนที่อากาศบ้านเราร้อนจนรู้สึกว่านั่งๆ อยู่ก็จะละลายได้ เหงื่อไหลได้เองโดยไม่ต้องขยับตัวไปไหน แล้วที่ร้ายแรงก็คือ ระเบียงบ้านรังนกนี่มันหันไปทางทิศตะวันตก ตอนบ่ายที่อากาศร้อนอยู่แล้วก็ถึงกับต้องเรียกกันว่าร้อนนรก เพราะแดดส่งเข้ามาเต็มที่ วร้อนแวรงเหลือเกิน ขนาดที่นั่งอยู่ในบ้านก็ตัวดำได้เอง จนมีคนทักว่าไปเที่ยวไหนมา บอกว่าอยู่บ้าน ใครเขาจะเชื่อ เพราะผิวออกจะเป็นสีแทนซะขนาดนี้  -.-   ทำไงดีล่ะ เย็นๆ เวลาอยู่บ้านก็ต้องปิดม่านซิคะ แดดข้างนอกออกจะสว่าง ต้องมาปิดม่าน อยู่มืดๆ แล้วจะทำอะไรก็ต้องเปิดไฟ  บ้าจริงๆ  

แล้วอยู่มาวันหนึ่งค่ะ ป้าก็สังเกตว่าแสงแดดที่แอบลอดเข้ามาในบ้านมันแปลกๆ ไปก็เลยแย้มผ้าม่านออกไปดูซะหน่อย เห็นแบบนี้ค่ะ

   

สวยเนอะ! นี่ขนาดฝีมือบ้านๆ แบบป้านะ ยังสวยเลย นอกจากจะสวยแล้ว ตึกที่น่ารำคาญหลังนั้น ยังช่วยบังแดดให้บ้านเราได้ร่มไปก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกจริงๆ ตั้งชั่วโมงกว่าๆ แนะ แล้วก็กลายเป็นกิจวัตรที่เราจะแอบดูพระอาทิตย์ ว่ามันหลบไปหลังตึกหรือยัง เราก็จะได้เห็นแสงสวยๆ แบบนี้ บ่อยๆ เปลี่ยนไปแทบทุกวันล่ะค่ะ  เห็นแบบนี้แล้ว แทบจะต้องกราบขอโทษตึกกันเลยทีเดียว ที่ได้จาบจ้วงไปซะมาก

คนเราก็แบบนี้เนอะ (หรืออาจจะเป็นป้าคนเดียว…ก็ได้ฟ่ะ) ที่พอมีอะไรซักจิ๊บ ซักจ้อย ในชีวิต เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เราก็จะเกิดปฏิกริยาต่อต้านขึ้นก่อน แบบว่าเป็นโหมดป้องกันตัวนะ แทนที่เราจะเฝ้าดูไป แล้วก็ทำความเข้าใจกับตัวเองไป  ก็จะเห็นว่า ที่จริงแล้วเรื่องที่กำลังเปลี่ยนแปลง หลายๆ เรื่องก็ไม่เกี่ยวกับเรามาตั้งแต่ต้น เราไปแปะโป้งไว้เอง ว่านั่นของชั้น นี่ของชั้น แล้วพอมันเปลี่ยนแปลง เราก็หงุดหงิด ขัดเคือง ไม่ชอบใจ แล้วก็พาล บางทีถึงขั้นปฏิเสธ ไม่ดูดำดูดีกันอีก  แต่ก็นั่นแหละ ถ้าดูกันดีๆ นะ ป้าก็เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมันเริ่มมาจากความหวังดี มันก็จะต้องมีเรื่องดีๆ ติดอยู่ด้วยเสมอ  ผลอาจไม่เป็นอย่างที่คิด ไม่ดีอย่างที่คาดไว้ แต่ก็เต็มไปด้วยความหวังดี ไม่งั้นคนที่คิดเขาจะทำมันทำไมล่ะ จริงมั้ย  

ถึงวันนี้ ป้าก็ยังแอบดูพระอาทิตย์ทุกเย็น อาทิตย์ที่แล้วก็โชคดีได้เห็นปรากฏการณ์หมวกเมฆสีรุ้งด้วยนะ (คลิกไปดูรูปกันได้ที่นี่นะคะ )   อาจารย์บัญชา  ธนบุญสมบัติ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านก้อนเมฆยังเล่าว่า ถ้าท้องฟ้าเปิดการแสดงใหญ่ขนาดนี้ แล้วเกิดขึ้นบ่อยๆ  แสดงว่าชั้นบรรยากาศข้างบนคงแปรปรวนน่าดู หรือที่เขาว่าขั้วโลกจะกลับข้างอะไรนั่น มันจะเป็นจริง o_O! เขาว่าวันเสาร์นี้แล้วนี่นา  แต่ก็ช่างเถอะนะ มาถึงตอนนี้ เป็นไงก็เป็นกันแล้วล่ะ อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นแล้ว สบายๆ แล้วกัน  

ถ้าโชคดี อาทิตย์หน้าเราคงได้คุยกันอีกนะคะ… จนกว่าจะได้พบกันค่ะ

เปิดเทอม ‘อีก’ แล้วคร้าบ

6 ความเห็น

 

คราวก่อนเพิ่งประกาศศักดาไปว่าได้เปิดเทอมแล้ว ก็มีอันต้องพับจอลาโรงไปชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่บ้านป้านี่ก็มีการกระชับพื้นที่ด้วยค่ะ…มากเชียวแหละ เพราะป๊าหมูต้องเดินทาง…ไม่อยู่ซะงั้น ปล่อยให้เราสองแม่ลูกเผชิญโชคอยู่ในถ้ำตามลำพัง (._. )  แต่จะว่าไป การมีโอกาสแบบที่ต้องอยู่บ้านนานๆ ก็ดีมากนะ ทำให้ได้ทำอะไรที่ไม่ค่อยคิดจะทำ หรือคิดแต่ก็ผลัดไปเรื่อยๆ ในเวลาปกติ

รูปพวกนี้เอามาให้ดูว่าตอนโดนกระชับพื้นที่นี่ ทำอะไรไปบ้าง นอกจากนอนอุตุกันจนคุณหญิงยายต้องโทรมาปลุกให้ขึ้นมาดูข่าวบ้าง

 อันนี้ก็รูปในสวนศรีของเรา 

ถังนมของลูก กินหมดแล้วก็เอามาเจาะๆ ใส่ดิน ลงเม็ดฟักทองที่ซื้อลูกมานึ่งกิน เม็ดก็เพาะเล่น สวยดี โตเร็ว เห็นแล้วชื่นใจค่ะ

 

 กระถางนี่มันเคยเป็นอาฟริกันไวโอเล็ตล่ะ ตอนนี้มันอพยพไปอาฟริกาใต้กันหมดแล้ว

อันที่อยู่ในถังนม อาทิตย์เดียวงามขนาดนี้แล้วล่ะ  

 นี่ก็ผักโขม ซื้อมาเด็ดใบไปต้มไว้อบชีส เก็บรากไว้ จิ้มๆๆ แรกๆ ดูงามดีค่ะ แต่แล้วก็เน่า เหลืออยู่สองต้น กะเพราเอย สะระแหน่เอย เน่าหมดไม่รอดค่ะ    

 มีตำลึงแอบอยู่ด้านหลังนั่นด้วยนะ

 อันนี้เม็ดมะขามค่ะ กินแล้ว เอาเม็ดมาเล่นอีตักกับลูก เบื่อแล้วก็เพาะซะเลย คาดว่าจะเป็นใบมะขามอ่อนต้มกะทิปลาสลิด ไม่วันใดก็วันหนึ่งล่ะ  

 นี่ต้นพริก อยู่ระหว่างทดลองว่าปลูกในขวดมันจะรอดมั้ย ตรงนี้เป็นแปลงเปรียบเทียบค่ะ

 ส่วนอันนี้ถั่วเพาะค่ะ สูตรอาจารย์สาทิส ชีวจิตบอกไว้ว่ากินอาหารที่กำลังงอก ได้พลังชีวิตดีนักแล  ผัดกับขาเห็ดหอมเจค่ะ อร่อยดีนะ กรอบๆ มันๆ ค่ะ  กินง่าย แต่เพาะไม่ง่ายเลย ป้าทำเน่าเป็นประจำ

   

 สิ่งมีชีวิต ก็ต้องมีพลังชีวิตแน่ๆ ป้าเชื่ออย่างนั้นนะ ต้นโมกนี่ แห้งแหงแก๋ เพราะเจ้าของหนีเที่ยวซะเกือบเดือน ก็เลยโดนตัดกิ่งซะโกร๋นหมด ตอนนี้เริ่มมีใบอ่อนๆ แหลมออกมาทั่งแล้ว ที่สำคัญ ใบยังเล็กๆ อยู่เลย ทะลึ่งมีดอกซะงั้น พลังล้นเหลือจริงๆ

 

ป้าหมอเคยสอนเราว่าเด็กๆ นี่ต้องสอนให้เขาอยู่บ้านให้เป็นด้วยนา คุ้นๆ ว่ามันช่วยเรื่องความมั่นคงทางอารมณ์นะ ตอนที่ฟังก็ขำๆ นะ ว่าการ อยู่บ้านนี่ ต้องสอนกันด้วยเหรอ แต่พอมานึกดูก็จริงนะ ชีวิตเมืองๆ นี่ วันทำงานก็ทำๆๆๆ จนค่ำมืดนะ พอวันหยุดก็ต้องมีเหตุให้ออกไปนู่นมานี่ ถึงไม่ได้มีธุระไปไหนก็ขอออกไปหน่อย เด็กก็ต้องพลอยติดไปด้วย เขาจะเหนื่อยบ้างมั้ยนี่ไม่รู้ได้ เพราะยังไงก็คงไม่กล้าบ่นหรอก.. จะโดนแม่ว้ากเข้าให้ซินะ 

แล้วทำไมต้อง ‘อยู่บ้าน’ ด้วย  ป้าก็นึกๆ ตามป้าหมอไปนะ …พอเราอยู่บ้าน เราก็จะนิ่ง มีเวลาเหลือเฟือที่จะหยิบนู่น ทำนี่ไปเรื่อย เราจะเห็นบ้านของเราละเอียดขึ้นว่ามุมไหนมันรก มุมไหนน่าจะจัดใหม่ได้แล้ว ของที่กองๆ อยู่ก็จัดซะหน่อย สำหรับพ่อแม่…ก็เหนื่อยแหละ แทนที่จะได้ไปเดินเที่ยวเล่น ชิว ชิว  แต่สำหรับเด็ก… การอยู่บ้าน คือการได้เล่นพ่อกับแม่เต็มๆ นะ คือไม่ได้เล่นด้วยกัน แต่เราแหละเป็นของเล่นของเขา เป็นเวลาที่เขาจะได้อยู่กับเราแบบที่ไม่ต้องแบ่งให้กิจกรรมอย่างอื่น บางทีเขาอ่านเจออะไรมาก็จะอยากชวนเราให้รู้ด้วย บางทีก็วิ่งหาของมาทำตามที่มีบอกในหนังสือ บ้านเละ แต่ก็เป็นเวลาสนุกของครอบครัวนะ.. เหนื่อยแต่ก็สนุกล่ะ

ตอนอยู่บ้านที่ทุ่งสงนี่ วันธรรมดาก็คงจะอยู่บ้านกันหนำใจแล้ว พอวันหยุดก็คล้ายเด็กเต้บนะ เราก็ไปเที่ยวเมืองอื่นกัน  ส่วนมากก็ไปในเมืองนครฯ  แต่คราวนี้ เราได้ขู่เข็ญตั่วกู๋ให้พาไปเที่ยวสงขลากันด้วย

เมื่อเด็กๆ เวลาจะมาสงขลาก็จะต้องตื่นแต่เช้ามืด แล้วไปกินแต่เตี๊ยมมื้อเช้าที่ตรัง กินอิ่มอร่อยดีแล้ว ก็เดินทางต่อไปขึ้น เขาพับผ้า ชื่ออย่างนี้เพราะทางมันจะคดเคี้ยวไปมา ไปมา อย่างกับผ้าพับซ้อนๆ กันนะ  พอเลยเขาลูกนี้ไป ก็ต้องแวะค่ะ… อ๊อกๆ ซิค่ะ ทู้กรอบซิน่า  ก็ไม่เคยเข้าใจเล้ย ว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงต้องพาเรามาอ๊อกถึงนี่ด้วย  แต่เดี๋ยวนี้ เขาพับผ้าไม่มีแล้ว มีแต่ซุปเปอร์ไฮเวย์ ขับปรู๊ดเดียวจากทุ่งสงนี่ ราวๆ สามชั่วโมงก็ถึงค่ะ

แหล่งของกินก็อยู่ที่ถนนนางงามนะ ไปถึงก็มุ่งหน้าไปก่อนเลย ร้านประจำก็ชื่อร้านแต้ ที่เรากินมาตั้งแต่เด็ก จนป่านนี้ก็ยังเหมือนเดิม อร่อยเหมือนเดิมค่ะ จานที่ห้ามพลาดเลยก็ต้องต้มยำแห้งนะ รสเข้มข้นสะใจ ไม่เผ็ดมากค่ะ แล้วก็เต้าหู้ทรงเครื่องราดหน้าปูกับหมู แล้วมีผัดผักบุ้ง ที่เข้าใจว่าเป็นผักบุ้งไทยเลือกแต่ก้านกรอบๆ ผัดน้ำมันไฟแรงๆ ก็อร่อยแล้ว ที่จริงก็ยังมีอีกหลายจานนะ สรุปว่าสั่งมาให้พอคนละกัน อร่อยทู้กอย่าง

ของแถมคราวนี้คือแถวๆ ร้านแต้ ก็จะมีร้านขนมแบบโฮมเมด อยู่กระจายไปทั้งถนน ก็ตั้งแต่ลูกชิ้นปลาชุบแป้งทอด ข้าวฟ่างกวน ไอติมกะทิแบบโบราณกินกับถั่วเขียวต้มน้ำตาล – – เก๋ซะ! — หรือจะกินแบบใส่ไข่แดง หรือแบบเด็กเมืองก็กินกับซีเรียลโกโก้ครั้นช์ หนึ่งซองเทพรวดเดียวหมดก็ได้ แต่ที่เด็ดสุด ป้าชอบสุดก็ต้องนี่เลย กาลอจี๊ค่ะ …ตอนเราไปถึง เจ้เพิ่งยกของออกมา เราก็ไปกินไอติมกันมาพุงโย้แล้ว แต่เห็นกาลอจี๊ของเจ้แล้ว ไม่กินเห็นท่าจะไม่เข้าที อิ่มเป็นอิ่มนะ …โอ้โห มันกรอบมากค่ะ แล้วกินกับน้ำตาลงา คั่วใหม่ๆ หอมเกินบรรยายจริงๆ

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือท่องเที่ยวสงขลาต้องเคยเห็นเรื่องนี้แน่ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ใต้โรงงิ้วศาลเจ้าค่ะ อยู่บนถนนเดียวกัน แต่ไม่ได้เข้าไปชิมนะ พุงจะแตกแล้ว

 

อิ่มได้ที่ เราก็ออกเที่ยวกันต่อ ก็ต้องไปรื้อฟื้นอดีตกันหน่อย ไปดูเกาะหนู เกาะแมว ดูนางเงือก ก็พบว่าทุกคนยังอยู่สบายเหมือนเดิม ความจริง สงขลาก็เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกแบบที่ภูเก็ตนะ ตึกเก่าแบบชิโน โปรตุกิสกระจายๆ ไปทั่ว แล้วก็ขนมแปลกๆ  คนชอบภูเก็ต ก็คงจะชอบสงขลาไปด้วย

 

แล้วเราก็มีเรื่องให้เล่นสนุกได้อีกหน่อย เพราะเราไปเจออนุสาวรีย์รูปพญานาคเข้า เจอท่อนหัวก่อนนะ แหม… ดูอย่างกับ เมอร์ไลอ้อนของสิงคโปร์เชียว ก็ต้องไปถ่ายรูปกัน ถึงได้รู้ว่าเขาแบ่งเป็นสามส่วน วางกระจายทอดไปตามหาดสมิหราละคะ  ดังนั้น เราจึงต้องนั่งรถ วนหากันให้ครบนะ …คือ… มันก็สนุกนะ แต่มันเป็นช่วงบ่าย…ที่แดดแรงม้ากค่ะ  แต่ก็ไม่เป็นไร เพื่อความบันเทิงนะ เราก็หาจนเจอละค่ะ

 

 

บางส่วนของสงขลาเปลี่ยนไปจากเมื่อตอนที่มาเที่ยวตอนเด็กๆ  เมืองเจริญขึ้น ตึกใหญ่เพิ่มจำนวนขึ้น  แต่ความรู้สึกต่อการมาเที่ยวสงขลาก็ไม่เปลี่ยนเลย เรื่องที่คิดได้เวลามาเที่ยวสงขลา คือการได้มาเที่ยวกับป๊าและม้า มากินของอร่อย มีขนมอร่อย มาถ่ายรูป แล้วก็มีลุ้นว่าตอนไปหาดใหญ่จะได้ของเล่นกลับไปด้วยมั้ย 

พาลูกมาเที่ยวแบบนี้จะตีความว่าเป็นการ อยู่บ้าน แบบเวอช่วน ได้มั้ยนา …หรือเราจะตีความคำของป้าหมอแบบเข้าข้างตัวเอง หาเรื่องจะเที่ยวซะแล้วหว่า  (._. )

เปิดเทอมแล้วคร้าบ

7 ความเห็น

 

สวัสดีค่ะ ขออภัยที่หายไปนานนะคะ…วงเล็บเปิด ไม่รู้จะมีใครรู้มั้ยเนี่ย (._. ) วงเล็บปิด…

 

ช่วงที่ผ่านมาเด็กปิดเทอมค่ะ ก็เลยพาไปอยู่บ้านตากอากาศที่ทุ่งสงค่ะ ก็สมใจเลย…ได้ตากอากาศ ร้อนนน สมใจล่ะซิ  เข้าใจว่าเฉียดสี่สิบค่ะ ก็พอๆ กับที่กรุงเต้บนี่ล่ะ เพียงแต่ว่าที่นู่นมีลมหน่อยๆ บางวันก็ได้ลุ้นฝนตกกันนิดนึง  ว่าที่จริง เมื่อปีก่อนๆ เวลาไปบ้านเรามักจะเจอฝนกันนะคะ ก็เป็นลมร้อนจากกรุงเทพนี่ล่ะ ที่พัดผ่านอ่าวไทยแล้วก็หอบเอาฝนไปแถวบ้าน แต่ปีนี้สาหัสเลย แห้งสนิท ร้อนมากด้วย  สวนยางที่ควรจะได้กรีดกันแล้ว…ก็ต้องรอฝน ดังนั้น ข่าวที่ได้ยินว่าราคายางขึ้นพรวดพราดนั้น ก็เป็นความจริงตามหลักอุปสงค์ อุปทาน แต่ปริมาณเงินในกระเป๋าชาวสวนยางนี่..ไม่มา เพราะว่ายาง..ไม่มี ก็เลยกลายเป็น..อุ ปา ทาน ไป ซะแทน

ไปคราวนี้ ป้าได้อยู่บ้านตั้งเกือบเดือนแน่ะ นานที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เรียบจบตรีนู่นนนน… อันนี้ นานมากนะรับรองได้ ก็เป็นโอกาสให้ได้ดูบ้านตัวเองแบบละเมียดกันนิดนึง

ตะก่อน ก็ไม่เคยรู้เลยว่าหลังบ้านมีแนวเขาสวยมากอยู่หนึ่งเทือก รูปร่างเป็นระฆังคว่ำเหมือนเวลาที่ครูจะตัดเกรดคะแนนสอบละค่ะ  ก็เพิ่งจะได้สังเกตุหน้าตากันจริงจังในคราวนี้ ตอนที่ขึ้นไปตากผ้าบนหลังคาบ้าน ชาวบ้านเรียกชื่อ เข้าเหม๋น ค่ะ โปรดอ่านตามวรรณยุกต์อย่างเคร่งครัด ไม่งั้นก็ให้เพื่อนชาวใต้ช่วยพูดคำว่า “เขาเหมน” ให้ฟังจะได้อารมณ์อีกนิด  มีอยู่วันนึง ป้าขึ้นไปตากผ้าตามปกติ ยอดเขาหายไป! ท่อนบนมันโดนเมฆพาดบังมิดไปค่ะ แล้วก็มีเมฆอีกกระจุก ลอยต่ำๆ ล่างถัดลงมาหน่อย โอ! แจ่มมาก  พี่ชายของป้าซึ่งเป็นตั่วกู๋ของหมูปันบอกว่า ขึ้นไปได้นะ ลำบากนิดนึงแต่ขึ้นได้  ก็แอบๆ คิดไว้ ว่าจะขึ้นไปเดินเล่นดูซักทีท่าจะดี

เมื่อเด็กๆ ก็ไม่เคยสำนึกเล้ย ว่าการที่มีบ้านอยู่ต่างเมืองนี่มันจะดีแบบนี้ ปิดเทอมต้องกลับบ้านเป็นประจำก็ทำไปตามกิจวัตร เพิ่งมานึกได้ตอนโตนี่เอง ว่าบ้านเราก็แจ่มไม่แพ้ใคร อย่างที่ตั่วกู๋ว่านะแหละ ดูพระอาทิตย์ตกที่บ้านเรา ก็สวยเหมือนที่แหลมพรหมเทพแหละ จะต้องไปมันทำไม คนเยอะชิบ  มาดูกับตาเองมันก็จริง ฟ้าตอนเย็นที่บ้านเราเป็นสีชมพูหวานๆ แซมกับฟ้าเทอค้อย เทอคอยได้เหมือนกัน ฟ้าบ้านไหนเป็นแบบนี้… ก็ขอให้มั่นใจว่าบ้านตัวก็น่าอยู่นะ ตะเอง

ตานี้ พอไปอยู่บ้านหลายวัน เราก็ต้องทำตัวมีประโยชน์กันนิดนึง… ตื่นเช้ามา คนลูกก็คว้าจักรยานคันเล็กของน้องไปซิ่งบนฟุตบาทหน้าบ้าน ก่อนที่ผู้คนจะเดินกันเยอะไป บางวันก็สลับเป็นสกู้ตเตอร์ ไถไป ยังไม่ทันกินของเช้า เสื้อก็เปียกเหงื่อชุ่มซะแล้ว  ส่วนยายคนแม่ ก็หาของกิน แล้วเป็นอย่างคำไทยเราว่าจริงๆ คือทำมา หากิน ทั้งวัน ก็วุ่นอยู่แต่กับการหาของกินนี่ละค่ะ  ข้างบ้านเดินเลยไปหน่อยก็เจอตลาดเช้า เดี๋ยวนี้เห็นผักเมืองนอก พวกแครอท บรอคโคลี่ อะไรอย่างนั้นเยอะขึ้นค่ะ แต่ที่น่าดีใจ คือตลาดที่บ้านก็มีผักปลอดสารด้วย บางวัน มีแม่ค้าหอบตะกร้ามาเดินขายแบบ knock door กันเลยทีเดียว

ป้าก็ชอบไปดูของแปลก ตะก่อนเจอผักบ้านๆ เยอะค่ะ สะตอนี่เบสิคมาก ยกมาเป็นพวงๆ กันเลย ลูกเหรียง ลูกเนียง แล้วยังผักเหนาะที่กินกับขนมจีนพวกยอดยาร่วง ใบมันปู ที่ขายรวมๆ กับผักอื่นเยอะจนไม่รู้จักชื่อ ใบย่านางของโปรดของใครบางคน ^_^ ก็เต็มไปหมด แล้วก็ได้เจอแม่ค้าขายดอกผักปลังค่ะ อันนี้ไม่รู้จักชื่อหรอก ก็ถามเอาล่ะค่ะ แกว่าเอาไปลวกจิ้มน้ำพริก ดูหน้าตาน่าจะกรอบๆ เลยถอยมาถุงนึง 10 บาท ได้ถุงเบ้งเลยค่ะ ตอนเย็นก็เอามาผัดน้ำมันหน่อยนึง แล้วก็ชุบแป้งทอดอีกกองนึง ก็…..กรอบอย่างที่คิดค่ะ มันๆ  แล้วในดอกคงมียางอะไรหน่อย กินแล้วมันจะมีเมือกๆ ติดปลายนวม รวมๆ แล้วอันที่ทอดก็จะกินง่ายกว่าอันที่ผัดหน่อย งานนี้สอนให้รู้ว่า ป้าบอกให้ลวกจิ้ม ก็ลวกจิ้ม กรุณาอย่าแหลมไปทำอื่น แต่ก็เหลือไม่เท่าไหร่น้า พอไหวๆ

อีกอย่างที่เจอคือถั่วงอกค่ะ คนย่านนี้คงชอบกินถั่วงอก เขามีทั้งถั่วเหลือง ถั่วเขียว เอามาทำถั่วงอกหมด ขนาดสะตอ ลูกเนียงยังงอกเลยล่ะ  ท่านที่เคยเรียนวิทย์ แล้วครูให้เพาะถั่วงอกในถาดทิชชู่ อย่านึกลำพองตนไปอย่างป้า เพราะการเพาะถั่วงอกให้กลายเป็นต้นอวบแบบลวกใส่ก๋วยเตี๋ยวอย่างนั้น เขาต้องมีภูมิปัญญา และความเอาใจใส่นะคุณ ต้องล้างบ่อยๆ หรือยังไงนี่ล่ะ อันนี้ป้าทำเน่ามาเย้อะแล้ว ใครทำเป็นช่วยมาแถลงกันหน่อยนะ  แล้วป้าก็ไปเจอแผงขายถั่วงอก อุแม่เจา ถั่วงอกอะไรมันช่างน่ารัก  ต้นสั้นๆ ราวเซ็นเดียวแหละ หัวอวบๆ เอาละ เคยอ่านที่อาจารย์สาทิส แห่งชีวจิตสอนไว้ ท่านว่า ของงอกนี่แหละมีพลังชีวิต ป้าก็เอาเลย ซื้อมา 10 บาทเหมือนเดิม  แต่ ดับนี้แล้ว เราก็ไม่ได้ผัดกับเต้าหู้ดอกหนา ป้าเอามาผัดกระเทียมกับเนยค่ะคุณ ผัดให้แห้งหน่อย ใส่เกลือพอเค็ม กินกับปลาทอดแบบเสต๊กอะค่ะ เคี้ยวกรุบกรับ กรุบกรับ มันๆ อร้อย อร่อย ขอบอก

ป้าก็ว่า เออนะ เวลาย้ายไปอยู่ที่ไหน ลองกินแบบเขา อยู่แบบเขาดูนิ ก็จะรู้สึกดี๊ ดีนะ ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง มันก็ต้องมีความกล้าหาญ แล้วก็ปรับตัวเรา ไปหาสิ่งอื่นรอบๆ ตัวเรานะ  ถ้าไม่มีบ้านตากอากาศแบบป้า ก็ใช้ช่วงไปเที่ยวเนอะว่าคนแถวนั้นเขากินอะไร อยู่แบบไหน  เราทำตามเขา ไม่ต้องขออะไรที่มันแปลกไป ก็ไม่เป็นภาระเจ้าถิ่น แถมยังมองว่าเราน่ารักแล้วก็ให้เกียรติกับวิถีของเขา แบบนี้ เราก็จะมีมิตรจิต มิตรใจกัน…อย่าทำเป็นเล่นไป นี่หนะ รากฐานของความมั่นคงแห่งชาติเชียวนา  

ส่วนหมูปัน ก็อยู่บ้านเรื่อยๆ แบบนี้ค่ะ เช้าเล่น แล้วก็อ่านหนังสือหน่อยนึง แล้วก็กิน…ตกเย็นก็กิน แล้วก็เล่น… ช่วงปิดเทอมนี่ แถวบ้านมีการบวชเณรภาคฤดูร้อนกันเยอะ ก็จะมีการบิณฑบาตรกัน เราก็แจมค่ะ …ก็มีตื่นมาใส่บาตรกันบ้าง  แต่ถ้าเป็นปลายปี ตอนปีใหม่นะ พระจะมารับบิณฑบาตรตรงหน้าบ้านเป็นแถวยาวกว่านี้เยอะเลย อากาศก็เย็นๆ สบายดีด้วยค่ะ

 

 

เพลินๆ ไปแป๊บเดียวเปิดเทอมซะแล้ว วันจะกลับกรุงเทพยังมีบ่นกระปอด กระแปดว่า “อิจฉาน้องจัง หน้าบ้านมีฟุตบาทด้วย” แบบว่ามันคงจะอิสระเสรีอะน่ะ ไม่ต้องระวังมากกกก อย่างเด็กเต้บ

 

มาถึงวันนี้ วันพืชมงคลนี่นะคะ ก็เปิดเทอมมาได้วันที่สามแล้วค่ะ เร็วกว่าโรงเรียนอื่นหน่อย หมูปันถึงกับบ่นเสียดายที่อดดูการ์ตูนเรื่องโปรดที่ฉายตอนวันหยุดพืชมงคล  อ้าว ก็หม่าม้าดูปฏิทิน เขากาไว้ว่าวันพืชมงคลเป็นวันจันทร์นี่นา ก็น่าจะได้ดูนิ  แล้วทำไมกลายเป็นวันพฤหัสไปได้ ทีวีโฆษณาวันผิดป๊าววว  อันนี้ทั้งป๊าหมู และป้าหมูก็งงไปตามๆ กัน เออเนอะ บ้านเรานี่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น คนที่เขาว่าจะเลิกม้อบ เขาก็ไม่เลิก คนที่เขาว่าจะปิดไฟตัดน้ำ เขาก็ไม่ตัด คนที่เขาว่าจะดองเปรี้ยวดองเค็มอะไรกัน เขาก็พริ้วกันไปซะงั้น นับประสาอะไรกับวันสำคัญทางราชการวันเดียวในปฏิทิน จะพิมพ์ผิดมั่งก็เอาเถอะ ถือซะว่า นี่ก็น่ารักอย่างไทย…เหมือนกัน

ว่างๆ ลองดูปฏิทินใกล้ๆ ตัวดูหน่อยซิค่ะ ว่าวันพืชมงคลหนะ มันวันไหนกันแน่ หรือจะมีอันที่บ้านป้าอันเดียว?  เหม่ เหม่ นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ   

ดุจดังต้นไม้ในจักรวาล

10 ความเห็น

 

จักรวาลลอยฟ้าของป้ามีขนาดเจ็ดสิบตารางเมตรค่ะ มีระเบียงสามด้าน ลมโกรก ที่สำคัญมีวิวสนามหญ้าบ้านคนอื่นเป็นของแถม ดูได้ตามสบายโดยไม่ต้องตัดหญ้าเอง มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายต้นล้วนแล้วแต่เป็นไม้ดอกสีชมพูทั้งนั้น ฤดูที่ตาเบบูย่าออกดอกเราก็จะได้ดูดอกสีชมพูนี่เต็มต้น ใกล้ตาเรายิ่งกว่าเจ้าของบ้านซะอีก ที่สำคัญเวลามันโรย…. เราไม่ต้องกวาด ^_^  มีอยู่ปีนึงที่ฝนตกแล้วเจ้าดอกนี่ร่วงเต็มสนาม สงสารคนกวาดมากเป็นสองเท่า เพราะมันนิ่มหนืดเกาะพื้นหนุบหนับ กวาดยากจริงๆ

ระเบียงของป้าก็มีต้นไม้เหมือนกัน ที่ติ๊ดเดียวแต่ก็อยากปลูกกะเขามั่ง แต่ไม่ได้เป็นสวนแนวใดๆ ทั้งสิ้น ชอบต้นอะไรก็ไปหามาวางๆ ไว้ให้มีเขียวๆ ไว้พักตา ส่วนมากก็จะหนักไปทางไม้ใบนะ อิ อิ ถึงจะเป็นไม้ดอก ป้าก็สามารถปลูกจนกลายเป็นไม้ใบไปได้นะ มันก็มีวิวัฒนาการไปตามความเห่อค่ะ ช่วงที่แรงมากหน่อยก็จัดนู่น ย้ายนี่ แต่หลังๆ มานี่แรงตก ยกอะไรหน่อยหลังเคล็ดซะงั้น โอ้ววว เวลานั้นของเรามาถึงแล้วหรือนี่ (_*)  ไม่หรอกค่ะ แดดมันร้อนกลัวผิวเสียฮ่ะ ก็ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ได้พรวนดิน ไม่ได้ตัดแต่ง ไม่ได้ใส่ปุ๋ย มันก็โตกันเองได้นะเก่งจริงๆ  

ที่ระเบียงตรงห้องนอน ป้าก็จำกัดจำนวนประชากรไว้สี่กระถาง มีอะไรมาเพิ่ม ก็เอาไปลงไว้ตรงโคน สุมๆ รวมไว้ในกระถางเดียวกัน แอบตั้งใจว่าจะลงต้นไม้สูงนิดนึงไว้บังแดดบังตาเพื่อนบ้านอะไรอย่างนั้น ตอนนี้ก็มีต้นโมกในกระถางที่ใหญ่ซะจนมีที่เหลือให้เม็ดต้นไม้อื่นลอยลมมาขึ้นเบียดอยู่ด้วยได้ ตอนนี้มันก็ยังเป็นต้นไม้ไม่ปรากฎสัญชาติค่ะ เพราะมันยังเป็นไม้ใบ ดูจากรูปร่างใบก็เดาว่าเป็นชงโคนะ ป้าเห็นว่ามันก็ไม่ได้ผิดคอนเซ็ปต้นไม้ใหญ่ ก็เลยปล่อยให้อยู่เป็นต้น UFO ต่อไป

อีกกระถางเป็นปีบค่ะ เก๋มั้ยมีปีบอยู่ที่ระเบียงบ้านด้วย อายุมันถ้าไม่ถึง 9 ปี ก็คงไม่น้อยกว่านี่นานนัก เพราะมันเป็นอายุของความสัมพันธ์ของป้ากับน้องรักคนนึง น้องเค้าแซะมาให้จากที่บ้าน ก็เลี้ยงมาเรื่อยๆ มันก็โตเอาๆ มีต้นลูกออกมาเต็มโคน แต่จนป่านฉะนี้ ปีบของป้าก็ยังไม่เคยมีดอกเลยแม้แต่ดอกเดียว  แต่ก็เอาเถอะ เลี้ยงไว้ดูเปลือกต้นก็ยังดี เปลือกต้นปีบนี่ ฟอร์มสวย แล้วช่วยเตือนใจเรื่องสังขารอันไม่เที่ยงได้มากนะคะ มันแตกระแหงแห้งสนิทได้ใจจริงๆ  พอถึงหน้าดอกปีบ ป้าก็ใช้วิธีไปดูดอกของต้นที่เขาปลูกอยู่บ้านหน้าปากซอย ไปเจอที่ไหนก็เก็บดอกมาใส่ขวดเล็กๆ ไว้ดูและดม แล้วก็ทำให้คิดถึงน้องอีกคนที่ตอนนี้กลายเป็นแอร์โฮสเตสไปแล้ว เธอมักจะมาแต่เช้า เก็บดอกปีบที่บ้านมาปักแจกันไว้ให้หอมฟุ้งไปทั่ว 

แล้วก็มีต้นที่ภูมิใจเป็นพิเศษเป็นต้นมะเฟืองค่ะ เดิมก็ตั้งใจปลูกไว้ดูดอกแทนซากุระเชียวนะ แต่มันก็ดั๊นติดลูกใหญ่เบ้อเริ่ม กินได้ด้วย คงเพราะมันเป็นกิ่งตอน หรือทาบกิ่งอะไรนี่แหละ กรุณาอย่าถามเพราะป้าม่ายยยรู้ มะเฟืองไฮโซของป้านี่หวานด้วยน่ะ เป็นมะเฟืองออร์แกนิคร้อยปูเซ็ง เพราะไม่ได้ใส่ปุ๋ยเลย อาจจะเป็นเพราะรดด้วยน้ำพิเศษมั้ง ก็พวกน้ำล้างจาน น้ำล้างม้อบ ม้อบถูพื้นฮ่ะไม่ใช่ม้อบที่ถนนนะฮะ ป้าก็เก็บไว้ไปรดต้นไม้นี่แหละ น้ำคอนโดมันแพ้ง ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย นี่ก็คิดอยู่ว่าจะเก็บน้ำจากเครื่องซักผ้ายังไง มันเยอะจัด…เอาไปรดต้นไม้คงได้ทั้งบ้าน

ต้นสุดท้ายเป็นซานาดูค่ะ เป็นไม้พุ่มอวบน้ำ ป้าเลี้ยงไว้ดูใบแบบเต็มขั้น แต่เจ้าต้นนี้ใบก็ไม่ใหญ่อย่างที่มันควรจะใหญ่ คงเป็นเพราะมันโดนบีบอยู่ในกระถางแหละ แตกต้นออกมาก็เยอะแยะ คนปลูกก็ไม่ยอมเปลี่ยนกระถางให้ซะที  เจ้าต้นนี้เขาติดสอยห้อยป้ามานานสุด ถึงปีนี้ก็เลยสิบปีไปแล้วแน่ๆ ป้าชอบเพราะใบมันแข็งแรง ตัดมาปักแจกันนี่อยู่ได้ทนนาน แถมไม่เรื่องมาก เวลารดน้ำก็รดต้นอื่นซะก่อน น้ำที่เหลือก้นถังนิดนึงค่อยเทโครมลงไปใส่เจ้านี่  ถ้าน้ำไม่เหลือก็อดไป แต่มันก็ไม่ตายนะ ต้นอื่นยังมีงอน ใบเหลืองใบร่วงบ้าง แต่เจ้านี่ ไม่เลย

จนมาเมื่อเช้าวานซืน ป้าก็เอาน้ำรีไซเคิ่ลไปรดต้นไม้ที่ระเบียงตามปกติ  เอ๊า ซานาดูจอมอึดเป็นไรไปเนี่ย มันมีใบเหลืองกรอบประปรายไปทั่วเลยค่ะ (o_O)’

เอะแรก ก็อ๋ออออ แดดมันแรงขนาดนี้ มันคงเอาไม่อยู่ ขอเหลืองหน่อย แต่เอ๊ ต้นข้างๆ ก็ไม่เห็นเหลืองแบบนี้ นี่ต้นโมกก็เริ่มมีตุ่มดอกมาอีกรอบแล้ว มะเฟืองที่เดือนก่อนนู้นตัดลูกไปรอบนึง ก็เริ่มติดดอกสีชมพูแจ๋มาใหม่ ลูกปีบที่โคนต้นก็ยังขึ้นกันพรึ่บ เอ๊า แล้วซานาดูจอมอึดเป็นไรไปเล่า เรียกร้องความสนใจรึไง  พอคิดซักพัก เอ่อ สงสัยป้าจะลืมรดน้ำให้มันนานเกินไปแฮะ (._. ‘)

ตั้งแต่หมดหน้าหนาวเมื่อต้นปี แดดบ้านเราก็เจิดจ้าสุดๆ โดยเฉพาะแดดบ่ายๆ นี่ เหมาะจะทำหมูแดดเดียวมาก โดนไปแว้บนึง…อย่างกับโดนปืนเลเซอร์ ผิวจะตึงกระทันหัน มันแวรงงงง จริงๆ  ดังนั้น เวลารดน้ำ ป้าก็จะเกิดอาการเลือกที่รัก มักที่ชังแบบอัตโนมัติค่ะ ต้นมะเฟืองที่ออกลูกให้เชิดหน้าชูตาป้าปีละครั้งนี่ ก็จะรดก่อนเป็นอันดับแรก ยิ่งพักก่อนที่เขาติดลูกอยู่ก็ยิ่งรดให้ชุ่มจนล้นถาดรอง ไหลเจิ่งไปทั่ว  อันดับถัดมาก็เป็นต้นปีบ เพราะต้นลูกมันเยอะ ใบมันบาง แถมใจเสาะอย่างแรง ลืมรดไปพักเดียวก็พากันทิ้งใบคอพับคออ่อน เดือดร้อนป้าต้องเก็บกวาดอีก แม้จะไม่เคยออกดอกให้ดูกันเลย เราก็จะยังคงรักกันต่อไป  ต่อมาก็ต้นโมกค่ะ เจ้านี่มันขี้รำคาญ น้ำเยอะก็กลายเป็นบ้าใบไม่ออกดอกซะงั้น นิสัยแบบนี้ก็เข้าทางป้าซิ รดมั่งไม่รดมั่งก็ออกดอกขาว เป็นจุดๆ เต็มต้นอีกรอบแล้ว หอมด้วย น่ารักด้วย ยิ่งดูตอนกลางคืนเหมือนดาวนะ  แล้วสุดท้ายก็ซานาดู ที่เป็นน้องอึด ไม่บ่น ไม่โอดโอย เธอไม่รดน้ำ ฉันก็จะโตของฉันไปเรื่อย คราวนี้ พอรดเจ้าต้นแรกๆ หนักมือไป ก็ไม่เหลือน้ำไว้ให้ต้นหลังซิ กว่าจะรอน้ำรีไซเคิ่ลรอบใหม่มา ก็…ไปเริ่มที่ต้นแรก…อีกแล้ว  แบบนี้มันแค่โชว์ใบเหลืองมาโวยเอาบ้างก็สมควรแล้วล่ะน่ะ ยังดีที่มันแค่ส่งสัญญาณ ไม่ถึงกับลาขาดจนเราจะต้องมาเสียใจว่าทิ้งเพื่อนไปนานเกิ้น  

รดน้ำเช้าเสร็จแล้ว ป้าคิดมาก็คิดต่อว่า … เออหนอ… สิ่งมีชีวิตในจักรวาลของเรา คนที่เรารู้จักรอบๆ ตัวเราก็เป็นอย่างเดียวกับต้นไม้นี่เอง บางคนก็งุ้งงิ้ง งุ้งงิ้ง สม่ำเสมอ  บางคนก็พูดน้อยต่อยหนักดูเอาจริงเอาจังไปกับทุกขณะจิต แล้วก็มีบางคนที่ไม่พูด ดูเหมือนไม่ได้ต้องการความสนใจอะไรจากใครทั้งสิ้น แถมพอเรามีปัญหาขัดข้องขึ้นมาเมื่อใด ก็จะมีหน้าคนนั้นลอยมาเป็นอันดับแรก  ป้าก็ย้อนคิดกลับไปว่า แล้วที่เราปฏิบัติต่อผู้คนรอบๆ ล่ะ เป็นไง ส่วนมากก็จะเป็นแบบปฏิกริยาตอบสนองน่ะ เขาคุยมาเยอะ เราก็คุยไปเยอะ เขาขี้รำคาญ เราก็ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งด้วย คนพูดน้อย เราก็พูดด้วยน้อย แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ต้องการความใส่ใจ   

พักก่อนมีน้องเอาหนังซีรี่ของฝรั่งมาให้ดู ป้าก็ติดใจคำนึงที่ถึงกับต้องจดเก็บไว้ เขาว่า คนเรานี่นะมันจะมีความรู้สึกที่เรียกว่า Obsession to be Recognized ก็น่าจะแปลได้ว่าใครๆ ก็อยากได้ความใส่ใจทั้งนั้น ป้าก็เห็นว่าจริงอย่างยิ่งเลยทีเดียว แล้วก็คงเป็นความรู้สึกแบบนี้เองที่ทำให้ใครๆ ก็เล่นเฟซบุ้ค หรือพวกทวิตเต้อนี่ก็ใช่  คนธรรมดาๆ นะ แบบที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม หรือหลุดพ้นไปไกลนัก ก็คงจะรู้สึกคล้ายๆ อย่างนี้ อย่างที่ก็อยากให้คนอื่นเห็นตัวเอง คงไม่ต้องถึงขั้นเจอหน้าแล้วกรี๊ดใส่แบบเด็กแฟนคลับนักร้อง แต่อยากให้คนอื่นรู้ว่า เรากำลังทำอะไร เป็นอะไรมั้ย สุขใจ ทุกข์ใจอะไรมั้ย อยากได้ความใส่ใจหนะ  

นี่ก็ใกล้สงกรานต์แล้ว หลวงท่านว่าสงกรานต์นี่ยกให้เป็นวันครอบครัวเนอะ ก็ชวนกันคิดนะคะว่าความประพฤติของเราต่อคนรอบๆ ตัวนี่นะ มีอันไหนล้นไปมั้ย มากไปมั้ย หรืออันไหนน้อยไป ก็ลองเกลี่ยๆ กันดู เอาให้เหมาะกับธรรมชาติของทั้งเขาและเราล่ะนะ เริ่มจากคนในจักรวาลแถวบ้านก่อนก็ได้ค่ะ  (^_^ )

ป้าเก๋งเกียดเด็กบทที่แปด…แล้วเจ้าชาย กับเจ้าหญิงก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

9 ความเห็น

 

ปิดเทอมแล้วค่ะ ปิดสนิทเลย ตอนนี้ป้าเก๋งก็ได้อยู่กับลูกเต็ม เต็ม วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง (._.”’)  

เราก็หาอะไรทำเรื่อยเปื่อยกันไป บางวันก็สนุก แต่บางวันก็เหมือนจะกลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกัน …ขั้วจี๊ดนะคะ เจอกันเป็นเกิดเรื่อง ก็กลายเป็นแม่อยู่มุมนึง ลูกไปอีกมุมนึง  หมูปันก็ดูสบายดีหาได้ยี่หระแต่อย่างใด แม่มีไรก็ไปทำเหอะ 

ล่าสุด หมูปันหันไปคลั่งหนังสือเรื่องการทดลองวิทยาศาสตร์ในบ้าน  โอ้ววว เอาไม่อยู่ฮ่ะ เฮียแกเปิดทีละการทดลองแล้วก็ปฏิบัติการตาม  แรกๆ ก็ปกติค่ะ มาขออุปกรณ์แล้วก็ไปขลุกๆ อยู่ ก็ได้มาเป็นรางที่ทำจากหลอดกาแฟ แล้วใช้ลูกแก้วกลิ้งไปตามราง “ทดสอบเรื่องการส่งต่อแรงกระแทกครับ”  o_O’  ยิ่งมา ก็เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ “หม่าม้าคับ อยากดื่มชามั้ยคับ” ฟังดูดีใช่มั้ยค่ะ ม่ายยยย “คือว่าในเนี้ย เค้าบอกว่าให้เอาถุงชามาทำเป็นทรงกระบอกคับ แล้วจุดไฟข้างบนคับ แล้วมันจะลอยยยย”  หลังจากแม่ลูกอภิปรายกันไปพักนึงว่าด้วยเรื่องใครจะกินชา แล้วใครจะจุดไฟ  คนที่ต้องตั้งหน้าตั้งตาดื่มชา คือป๊าหมูค่ะ เพราะลูกตัวแสบจะเอาถุงชาไปจุดไฟ… (o_O’) จนป่านนี้ มันก็ยังไม่ลอยฮ่ะ  

อันที่มึนสุด คือแป้งข้าวโพดค่ะ “ขอแป้งข้าวโพดได้มั้ยคับ”  ก็เทใส่ถ้วยไอติมเล็กๆ ให้ไป  หมูปันเอาไปใส่น้ำแล้วกวนๆๆๆ “นี่นะหม่าม้าถ้าเราจิ้มช้าๆ นะ มันจะจิ้มง่ายเลย แต่ถ้าจิ้มเร็วมันจะแข็งคับ เนี่ยมันเป็นเรื่องความหนาแน่นของเส้นใยนะคับ”  อืมมม อันนี้มาจากในรายการโทรทัศน์ค่ะ แต่มันไม่แค่นั้นดิ แป้งข้าวโพดมันกระจายไปทั่ว เอาลูกแก้วลงไปจุ่มๆ ทิ้งให้แห้ง แล้วเช็ดออก มันก็ฟุ้งทั่วซิฮะ แล้วยังเสด็จไปเคลือบอีกหลายอย่างค่ะ “เดี๋ยวเรามาทดลองดูว่าแป้งข้าวโพดนี่มันจะเคลือบผิวหนังเราได้มั้ย เผื่อจะทำพลาสเตอร์นะ” เฮียก็เริ่มจากนิ้วตัวเอง  เผลอแป๊บเดียว หน้าแข้งน้อยๆ ก็มีแป้งเกาะขาวอยู่เป็นกอง ก็ดีนะ นั่งนิ่งได้พักใหญ่ เพราะกลัวแป้งมันจะแตก แต่ตอนเช็ดนี่ซิ เฮ้อ ไม่ไหวจะเคลียร์ 

ก็ได้แต่สงสัยว่าป่านนี้ เพื่อนๆ หมูปันเค้าจะทำอะไรกันอยู่น้า

เปิดเทอมใหม่ปอสี่นี่ ก็จะมีการสลับเพื่อนๆ กันอีกแล้วค่ะ หมูปันก็จะได้เพื่อนใหม่ โอ้วววว จะเจอใครน้า จะน่ารักแค่ไหนน้า  (o_O)   คิดถึงสุภาษิตฝรั่งที่ว่า ‘better the devil you know than the one you don’t’ เพราะเจ้าตัวเล็กๆ นี่หนะ ช่ายยยยเลย Devil แน่ๆ  แต่คิดแล้วก็เสียดาย เพราะก่อนจะปิดเทอมนี่ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ปันกับแก๊งเด็กแสบนี่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มตั้งแต่ข้าวปุ้น ที่โดนแม่ปันสอบปากคำพร้อมมาวิน และนูโว  หลังจากนั้น เวลาเจอกันที่โรงอาหารตอนที่เขาไปหาของกินหลังเลิกเรียน แรกๆ จะเจอเขาเฉพาะขาเข้าค่ะ แล้วต้องเรียก ไม่งั้นจะวื้บ วื้บ หายไป ส่วนขาออกนี่เข้าใจว่าเฮียแกไปหาทางออกของชีวิตด้านอื่น แหงล่ะ ใครอยากจะเจอป้านั่งตาขวางอยู่เล่า  แต่หลังๆ มานี่ เวลาเจอข้าวปุ้นก็จะเดินมาทักทาย สวัสดีคับ บางทีซื้อไอติมมานั่งกินข้างๆ ไหลเละตุ้มเป๊ะหมด แถมยกระดับเป็นสายข่าวให้แม่ปันไปซะงั้น “แม่ปันคับๆ ปันอะ เค้าชอบอ่านหนังสือมากกกกเลยอะคับ ชอบอ่านในห้องเรียนอะคับ ปุ้นบอกแล้วยังไม่เชื่อ” อ่อ อ่อ ได้ๆ เดี๋ยวแม่ปันสอบสวนให้คับ  ป่านนี้ หมูปันคงคิดได้แล้ว ว่าไม่น่าชักศึกเข้าบ้านเล้ยตรู 

ที่ประทับใจมาก คือตอนที่ครูฝรั่งมีเรื่องเอ๊กกี้ เบรด ก็ขนมปังชุบไข่ของเรานี่แหละ เขาให้เด็กๆ อ่าน ปรากฏว่า วันนั้นป้าทำเตรียมไว้เป็นอาหารเช้าพอดี ก็เลยเอาไปให้ครูชิมด้วย ปรากฎว่าเด็กๆ เห็นเข้า เย็นวันนั้น ข้าวปุ้นตะโกนเรียกแม่ปันตั้งแต่แรกย่างเข้าโรงอาหารนู่น “ปุ้นอยากกิน เอ๊กกี้ เบรด มั่งคับ แม่ปันทำให้หน่อยนะ”  ได้ๆๆ  ^_^ ไว้ทำมาให้นะ “เอ่อ ปะทุก็สั่งด้วยคับ มาวินด้วย นูโวก็ด้วยคับ ฯลฯ สรุปว่าทุกคนล่ะคับ” (o_O)’   

วันที่ได้ฤกษ์ทำไปให้เด็กๆ นั่น ป้าลุ้นมากเลยค่ะ ถ้าทำไปแล้วมันไม่กินขึ้นมา คงหน้าแตก แต่ก็รับปากมันแล้วนี่หว่า เอาล่ะ ลุยยยย  ตอนไปส่งที่ห้องเค้านี่ ยังเจออีกด่านด้วยค่ะ มีเพื่อนคนนึงสั่งพิซซ่ามาเลี้ยงเพื่อนฉลองวันเกิดกัน  แต่ละคนก็กินกันมาเต็มคราบแล้ว โดยเฉพาะข้าวปุ้นหนะปากแดงเป็นวงซอสมาเลย  ถึงอย่างนั้น เอ๊กกี้ เบรด ก็ยังได้รับการตอบรับเป็นอันดีค่ะ เด็กๆ พากันออกมาชิม ช่วยกันหยิบจาน หยิบช้อน ป้ามอบหน้าที่ให้ปะทุช่วยบีบน้ำเชื่อมแจกเพื่อนๆ มันบีบไปสองจาน “ไม่เอาล่ะ ทุจะกินมั่ง”  ข้าวปุ้นบอก “ปุ้นเอาสองชิ้น เพราะเป็นคนสั่ง” แต่มันไม่พอนี่คับ ก็ต้องแบ่งกันคับ คนมาทีหลัง โดยเฉพาะสาวๆ ที่แรกๆ ดูจะเขิน จนเกือบหมดแล้ว ก็เลยได้ชิมกันคนละครึ่งก้อน แบ่งกันๆ  

วันนั้น เป็นวันที่ชื่นใจม้ากค่ะ  ชื่นใจเพราะเห็นเด็กๆ ดูเป็นเด็กนะคะ แล้วเค้าก็คุยกัน แบ่งกัน กินเสร็จก็ช่วยกันเก็บขยะ ก่อนจะสลายตัวกลับบ้านกันไป ก็มาขอบคุณแม่ปันกันด้วย น่าร้ากจ้ะ

ส่วนปะทุ หลังจากที่เราคุยกันแล้ว ก็ไม่ค่อยออกฤทธิ์กับหมูปันแล้วค่ะ ก็มีบ้างนานๆ ที  แต่ก็เข้าใจว่าเค้าคงไม่ได้ตั้งใจ หรือบางทีอาจจะตั้งใจดีด้วยซ้ำ เพียงแต่กะจังหวะไม่ถูก อย่างเรื่องที่หมูปันชอบอ่านหนังสือในห้องเรียน ปะทุก็ชอบแย่งไปไม่ให้อ่าน ก็ทะเลาะกันบ้าง อันนี้ก็ไปเคลียร์กันเองเห้อะ  หลังๆ มา เวลาไปรอหมูปันก็เจอกัน ก็ชวนปะทุคุยค่ะ บางวันมานั่งบ่นให้ฟังเรื่องโดนเพื่อนแกล้ง มีวันนึง เสื้อเละอย่างกับตกบ่อโคลน เพราะเพื่อนขว้างใส่ เป็นไงเล่าโดนซะมั่ง อันนั้นคิดในใจฮ่ะ ก็บอกเขาว่า เราก็อย่าไปแกล้งเพื่อนดิ เพื่อนก็เลิกแกล้งเราไปเอง ก็ดูหน้าตาไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ก็จะเชื่อได้ไงเนอะ ทีพวกผู้ใหญ่รบกัน ก็ไม่เห็นมีใครยอมใครก่อนซักคน

มีครั้งนึงเมื่อก่อนตรุษจีน เกิดเหตุหวัด 2009 ระบาดที่โรงเรียน ก็เลยต้องปิดกันทั้งอาทิตย์ เจอปะทุก็ถามเค้าว่าปิดหลายวันกลับบ้านมั้ย “ไม่” ทำไม “ขี้เกียจ” อยู่กรุงเทพทำไร “ไม่รุ” ไม่รู้อีกแล้ว ด๊ายยยยย เดี๋ยวป้าจัดให้ ว่าแล้วป้าก็โทรหาพ่อปะทุให้มารับกลับบ้าน ถามเค้าหลังจากเปิดเรียนอีกอาทิตย์ถัดมาว่าได้ไปบ้านมั้ย “ไปดิ” เสียงเข้มแฮะ มันคงเคืองแม่ปันน่าดู ก๊ากกกก ^_^  ชอบจริงๆ เลย ได้แกล้งเด็กเนี่ย

ดอกไม้บานแล้วจึงโรยรา…                          หมู่ดาวเปล่งแสงจ้าก่อนดับสูญ..

ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ หรือทางช้างเผือก…       แม้แต่จักรวาลที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องมีวันสูญสลาย…

ชีวิตมนุษย์นั้นไซร้…เปรียบได้แค่พริบตา…    มนุษย์ถือกำเนิดมาในช่วงเวลาอันน้อยนิดนั้น..

ได้รับความรัก…ได้ถูกเกลียดชัง…ได้หัวเราะ…ได้ร้องไห้…

ได้ต่อสู้…ได้บาดเจ็บ…มีความสุข…มีความทุกข์..

แต่สุดท้าย..ก็หนีไม่พ้นนิทราชั่วนิรันด์

 

อันนี้มาจากการ์ตูน Saint Seiya ค่ะ ซาบซึ้งเหลือเกินว่าคนเรานี่มีเวลากันคนละนิดคนละหน่อย การได้มาเจอกันในช่วงหนึ่งของชีวิตก็นับเป็นโชค จะถือว่าโชคดีก็ได้หรือโชคร้ายก็ได้  แต่สำคัญตรงเราได้เรียนรู้จากกันและกัน ได้ก็เห็นโลกที่หลากหลาย ได้รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา ก็เกิดขึ้นกับคนอื่นด้วย ก็เป็นธรรมดาๆ อย่างนั้นเอง  

เช่นนั้นแล้ว เราก็น่าจะทำหน้าที่ของเราไป ทำให้เต็มๆ ทำทุกอย่างที่ทำได้ ทำให้ถูกต้อง เวลาจากกันไป ก็จะได้เหลือแต่ความทรงจำที่ดี เนอะ

ป้าเก๋งเกียดเด็กบทที่เจ็ด เรื่อง ปิดเทอมฉุกเฉิน

4 ความเห็น

 

ในท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองแบบกรุ่นกรึ่มเช่นนี้ ก็ยังมีคนอยู่กลุ่มนึงที่มีความสุขมากกกเหลือเกิน  ก็เจ้าแก๊งเด็กแสบที่โรงเรียนหมูปันนี่เองล่ะค่ะ

โรงเรียนหมูปันประกาศปิดเทอมเร็วกว่ากำหนดเดิมไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ด้วยเหตุว่าสถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยราบรื่น การแสดงวันปิดเทอมที่ปกติจะต้องมีการซ้อม มีบทที่ต้องท่อง แล้วก็เตรียมเครื่องประกอบฉากกันแบบอลังการงานสร้าง ทั้งหมดเหลือเวลา 1 วัน ย้ำค่ะ… จากหนึ่งอาทิตย์ เหลือหนึ่งวัน!  ทีมงานคุณภาพก็ต้องปรับรูปแบบกันเป็นการด่วน หั่นบทหดจู๋ กิจกรรมที่ไม่จำเป็นก็ตัดไป ของประกอบฉากก็ไม่ต้องล่ะ ครูเขาว่า เป็นการแสดงแบบ 3 มิติแบบไม่ต้องใช้แว่นค่ะ (- _ – ) 

แหม ก็เสียดายกันหมดล่ะ เพราะทุกครั้ง ในงานนี้ก็จะเป็นเวลา “ออกของ” ของพวกเด็กๆ กันค่ะ  แก๊งสาวๆ ก็จะได้เต้นโชว์ แล้วทุกคนก็จะมีบทเด่นของตัวเองค่ะ หมูปันก็เหมือนกัน โดยเฉพาะครั้งนี้เขาก็โม้ไว้เยอะว่าจะได้เป็นพิธีกรซะด้วย จากทีแรกที่คุณครูถามแล้วก็ทำเป็นอ้ำอึ้งอยู่ทั้งคืนว่าจะเป็นดีไม่เป็นดี  เลยถามเขาว่าทำเป็นกั๊กๆ ไว้แบบนี้ ถ้าคุณครูยกบทนี้ให้เพื่อนไปจะเสียใจมั้ย โอกาสมันไม่ได้มีมาทุกวัน ถ้าชอบก็ต้องลุย เช้าวันถัดมาเขาก็ไปบอกครูฝรั่งว่า I have to be the presentor.  ก็เรียบร้อย ได้เป็น presentor สมใจหมาย  ความจริงครูฝรั่งก็ชอบจะให้หมูปันเป็นพิธีกรอยู่ล่ะค่ะ ไม่ได้หลงว่าลูกเก่งเกินเพื่อนแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะหมูปันเขาเพี้ยนสะใจมากจริงๆ  พิสูจน์กันตั้งแต่งานวันปิดเทอมหนึ่งแล้วค่ะ เด็กอื่นเค้าก็ร้องเพลงกัน ยืนร้องกันปกติ แต่หมูปันนี่ ไม่ด๊ายค่ะ ต้องมีท่าประกอบให้ล้นไป จนเพื่อนที่แสดงคู่กันถึงกับเหวอ แต่ป้าก็ชอบนะคะที่เขาบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้ ก็ทำให้บรรยากาศรวมๆ สนุกดี 

 ทุกครั้งที่มีการแสดงที่ห้องเรียน ป้าก็จะเต็มที่ล่ะค่ะตั้งแต่อนุบาลกันแล้ว ไปดูลูกแสดงก็โอ้ยยย ซาบซึ้งน้ำตาไหล ลูกแม่อะไรกันนี่ช่างเก่งเหลือเกิน (T_T)  ปีก่อนนู้นแสดงระบำประกอบเพลงเขาดิน หมูปันแสดงเป็นนกกระตั้ว กับนกเพนกวิน  เพื่อนๆ ก็มีประมาณหมวกบ้าง เสื้อบ้าง แต่ของหมูปันมาทั้งตัว ยันไปถึงรองเท้าทีเดียว เราออกแบบเสื้อผ้ากันเต็มอัตรา ปรึกษาน้าเขม Costume Designer ประจำบริษัท แล้วยังเสิร์ชหาแบบในเหน็ตว่าชาวบ้านเขามีมั้ย เจอแล้วก็ก๊อบกันเต็มเหนี่ยวค่ะ  วันแสดง ก็จะบอกเขาทุกครั้ง สนุกให้เต็มที่นะคับ แหม ก็เขาหนะไม่ใช่ธรรมดา แฟนคลับเค้าเย้อะ

ครั้งนี้ก็เหมือนกันค่ะ อาทิตย์ก่อนวันแสดงก็ยังโทรชวนยาย ชวนย่าให้มาดูปันแสดงจนต้องปรามไว้เพราะกลัวห้องที่ใช้แสดงจะระเบิด ก็บอกเขาให้แสดงแบบเต็มเหนี่ยว ขอเสียงดังๆ นะคับ หม่าม้าจะถ่ายวิดีโอไว้ให้อาม่ากับเหนะดูด้วย แล้วก็ได้ตามที่ขอจริงๆ เสียงสนั่นสุดใจค่ะ 

แต่เทอมนี้ ไม่ขำเหมือนเทอมก่อนๆ ค่ะ  เพื่อนๆ ดูจะไม่ปลื้ม พากันชำเลืองบ้าง เหล่บ้าง แทนที่จะแสดงบทของตัวก็พากันหันหน้าเข้าหากัน หัวเราะคิกคัก คนที่ยืนติดกันก็สะกิดๆ ให้หมูปันเบาเสียงลงหน่อย แต่ก็ไม่เป็นผลค่ะ เสียงหมูปันยังคงดังสนั่นเกินใคร …เต็มเสียงค่ะ เต็มเสียง แม่สั่งมา… แล้วในที่สุด ผู้ปกครองที่มาดูก็พลอยหัวเราะไปด้วย ( ._.) วันนั้น จิตตกอยู่แถวโรงเรียนเลยค่ะ มาถึงบ้าน ป้าก็คิดหนักเลยว่าเราสอนอะไรลูกผิดไปมั้ย ควรจะบอกลูกมั้ยว่าต้องเพลาๆ ลงหน่อย หลังจากคิดอยู่ครึ่งวัน ก็ตัดสินใจได้ค่ะ ….

ถ้าเราเชื่อมั่นว่าลูกไม่ได้ทำผิดกาละ ไม่ได้ไปร้องเพลงดังขนาดนี้ตอนเดินเที่ยว ก็เป็นอันว่าสบายใจได้ ก็ต้องทำใจมั่นๆ เอง  ใครจะขำอะไร มันก็สิทธิของเขา ลูกไม่ได้ทำผิดนี่นา อย่างน้อยก็ไม่ได้ผิดคิว  ถ้าไปบอกเขาว่าลูกร้องเพลงดังเกินไปครับ ออกแอ๊คชั่นมากไปครับ คราวหน้าห้ามทำครับ แบบนี้ เรื่องที่ควรทำ เรื่องที่ปกติ ก็จะกลายเป็นเรื่องผิดปกติไป  ป้าก็สังเกตเขา คุยกับเขา ก็พบว่าหมูปันสนุกกับการแสดง แล้วก็ไม่ได้ผิดบท เขาเล่าว่าคุณครูฝรั่งบอกปันว่า Well done! ซะด้วยนะคับ ป้าก็หน้าบาน ก็น่าจะดีแล้วนี่นา ป้าคิดกลับไปกลับมาหลายรอบเชียวแหละ เพราะไม่อยากให้เขาเป็นตัวตลก แต่พอสังเกตอาการลูก เออหนอ ก็ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนอะไรเลย แล้วก็ยังคุยว่าเพื่อนคนนั้นรำสวย คนนี้พูดเก่ง แล้วเพื่อนๆ ก็สนุกอย่างเขาด้วย ป้าก็คิดจากตัวเองซะมากไป กังวลถึงหน้าตัวเองมากไป คิดไปว่าคนเขาหัวเราะเยาะป้านี่เอง เฮ่อ…เราหนอเรา  

วันแสดง ป้าก็ไม่ค่อยเห่อเท่าไหร่ค่ะ ไปรอก่อนเวลาเริ่มแสดงราวๆ ชั่วโมงเดียวเท่านั้น คนอื่น ก็ทะยอยๆ ตามกันมาแล้วค่ะ ระหว่างรอก็สังเกตคนอื่นซิคะ อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป (*._. ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ปกครองท่านอื่นก็มาเจอกัน ก็คุยกันไปเรื่อย ตั้งแต่เรื่องปิดเทอมไปเที่ยวไหน อ๋อ ไปญี่ปุ่น อ๋อ หนูไปมาแล้ว ไปที่นั่นด้วยนะคะ ไปที่นี่ด้วยนะ…ก็บอกแล้วว่าที่นี่หนะโรงเรียนไฮโซ่  อืมม แต่ไม่ยักมีใครมาถามป้า ว่าปิดเทอมพาลูกไปไหน รอจะกวนอยู่ทีเดียวว่าตำบลปากแพรกอะค่ะ จะมีใครปลื้มมั้ยน้าาา  😛

อีกหัวข้อยอดฮิต คือเรื่องการสอบที่เพิ่งเสร็จไปอาทิตย์ก่อน พอมาถึงเรื่องนี้ บรรยากาศการสนทนาก็ฮอตไม่แพ้ข้อสอบ O Net นะฮ่ะ แล้วก็มีผู้ปกครองท่านนึงตั้งข้อสังเกตว่าการสอบของลูกที่นี่ เป็นแบบแยกหัวข้อ เรียนเรื่องนึง ก็สอบเรื่องนึง ไม่ได้สอบรวมๆ กันแบบโรงเรียนอื่น  ที่กังวลกันมากก็ประมาณว่า เอ๊ แล้วแบบนี้ลูกเราจะตามทันเพื่อนโรงเรียนอื่นมั้ย อย่างพวกโรงเรียนฝรั่งที่มีการบ้านเยอะๆ อัดวิชาการกันเต็มที่ พอทำข้อสอบ NT-National Test ก็ติวกันกระหน่ำแบบนั้น เขาก็เก่ง “แล้วแบบลูกหนูนี่ เค้าจะสอบวิศวะ เค้าจะทำได้เหรอค่ะ” โอ้วววว ถึงกับต้องลุกไปดูหน้าทีเดียว ว่าเสียงแม่ใคร (o_O*) คือว่าลูกคุณน้องอยู่ปอสามนี่ คุณน้องรู้เลยเหรอฮ่ะว่าจะสอบวิศวะ บ๊ะเจ้า! ป้าอยากจะรบกวนให้คุณน้องพูดอีกที พูดอีกที ได้รึปล่าว  อ๋ออออ เห็นหน้าแล้วก็ไม่แปลกใจ แม่น้องเหรียญทอง นี่เอง

เด็กชายเหรียญทอง เป็นน้องเครียดมาตั้งกะป้าจำความได้ เวลาเดินสวนกัน ปกติเด็กคนอื่นก็จะสวัสดี บางคนมีทักทาย บางคนถึงกับชวนเล่น มีบางคนที่วิ่งหนี แต่เหรียญทอง ไม่  เหรียญทอง เดินหลังตรง หน้าตรง ตามองตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น  อ๋อออออออ ป้ารู้แล้วเหรียญทอง ต้องไปเป็นวิศวะนี่เอง 

ป้าก็เอะใจตั้งกะปอหนึ่งแล้ว มีอยู่วันนึงที่แว่นของเจ้าป้อม เพื่อนห้องเดียวกับหมูปันเกิดน็อตหลวมใกล้จะหลุด แล้วก็เอามาให้ป้าดู “แม่ปันคับ ช่วยซ่อมให้หน่อยคับ” แหม..นะ ก็เด็กขอให้ช่วย ป้าก็วนเวียนหาไขควงนะ ก็เจอเพื่อนหมูปันสองสามคน ลองถามดูว่าจะพอหาไขควงที่ไหนได้  เด็กอื่นก็ตอบว่าไม่รู้คับ / ค่ะ  แต่เหรียญทอง ตอบว่า “พ่อผมเป็นวิศวะคับ” (o_O)!   ป้าสาบานจริงๆ ว่าไม่ได้หัวเราะเขาตอนนั้น แต่ก็ประทับใจมาถึงตอนนี้ ปะติดปะต่อเข้ากับเรื่องที่แม่น้องเหรียญทอง บ่นเรื่องข้อสอบ ก็ปิ๊งทันที อ๋ออออ รับทราบด้วยหัวใจครับลูก แต่ป้าสงสัยว่าแม่ของหนูรู้ได้ไงว่าลูกอยากเป็นวิศวะอ่ะนะ เร็วไปป๊าาาาาว?  

คงเป็นเพราะเหตุนี้ ถึงทำให้เหรียญทอง ดูเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ปอหนึ่งแล้วล่ะค่ะ ไม่มีล่อกแล่ก หมูปันซะอีกที่ไม่เคยเดินแบบปกติได้เกินห้าก้าว เดี๋ยวเดียวมันต้องโดด แล้วมันก็วิ่ง แล้วมันก็แวะดูนั่นดูนี่ ตอนนี้ปิดเทอม ก็ผลิตหนังสติ๊กมายิงแม่ซะงั้น เฮ้อออ… อุ๊ยลืม เรียกลูกว่ามัน ขอโทษฮ่ะ ขอโทษ… เลิกเรียนปุ๊บเหรียญทอง ก็มายืนรอรถมารับ ไม่มีภาพเขาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ตัวปียก หัวเหม็นอย่างคนอื่น เวลามีการแสดงที่ห้อง เหรียญทอง ก็จะเป็นโฆษก ทุกครั้รรง ย้ำค่ะว่าทุก “ครั้รรง” โดยเฉพาะภาคภาษาไทย เพราะเหรียญทอง ออกเสียง รอ เรือ ได้ชัดมากกกก จนป้าอยากพาไปประกวดการอ่านออกเสียงทีเดียว  จนปิดเทอมไปแล้วนี่ละค่ะ หมูปันถึงมาคุยให้ฟังว่า “เหรียญทอง เขาชอบเตะปัน” เอ๊า ทำไมละเนี่ย “ก็เค้าว่าปันปัญญาอ่อน” (O_O) กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด   อืม แต่จะว่าไปถ้าม้าเป็นเพื่อนปัน ก็คงต้องคิดงั้นแหละ คนอะไร เวลาเรียนทำหงิมๆ อ่านแต่หนังสือตลอดเวลา พอจะแสดงหน้าห้องขึ้นมา ท่าก็มาซะหลุดโลกขนาดนี้ ไม่คิดอย่างนี้ก็ไม่รู้จะคิดยังไงได้ ก็คงต้องปล่อยให้เขาคิดเถอะ มันเป็นสิทธิในการคิดของเพื่อน แล้วก็เป็นสิทธิในการออกฤทธิ์ของปันด้วย  แต่เขาไม่ควรจะเตะเพื่อนนะ คราวหน้าถ้าเค้าเตะลูกอีก ก็เตะกลับไปนะคับ (^_^)   

อืมมม แต่ก็น่าคิดว่า เหรียญทอง ผู้เอาจริงเอาจังกับอนาคตของตัวเองขนาดนี้ มีลงเท้ากับเพื่อนด้วยเหรอ คับลูก  คนเราคิดต่างกันได้ ใช้ชีวิตต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรงซิครับพี่น้องชาวไทย

ป้ารู้สึกเสียดายอย่างแรงทุกครั้งเวลาเห็นเด็กไม่เริงร่าน่ะ เด็กไม่เล่น เด็กหงอย เด็กเศร้า เด็กประกายตาไม่วิ้งๆ น่ะค่ะ มันน่าเสียดายเวลาแสนสนุกของเขาที่มันจะมีก็แต่ในช่วงนี้  เวลาที่เด็กๆ ยังจินตนาการว่าขี่จรวดไอพ่นไปดาวอื่นได้ เวลาที่เขายังไม่ต้องระแวงกับโลก เวลาที่เขาสามารถพูดคุยกับใครก็ได้ในเรื่องที่เขาชอบ เรื่องที่เขาฝัน และเรื่องที่เขาอยากทำ แบบที่ไม่ต้องรู้จักกรอบแบบเดิม ชอบแบบหลุดๆ อะค่ะ คุยกับเด็กแบบนี้แล้วสนุกสุดๆ ไปเลย  ป้าชอบที่น้องซูกัสบอกว่าอยากเป็นคนเขียนเกมส์ ก็เพราะกัสชอบเล่นเกมส์จนแว่นหนาเตอะ  ป้าชอบที่หมูปันบอกว่าเขาอยากเป็นนักสืบ และนักมายากลด้วย  ป้าชอบที่ข้าวปุ้นบอกว่าไม่อยากเป็นครู เพราะครูดุ  ป้าชอบกระทั่งที่ปะทุบอกว่า มันจะอยู่ชิว ชิวไปอย่างนี้แหละ เพราะอย่างน้อย มันก็ได้คิดเองว่ากรูจะชิว  แต่ป้าไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเหรียญทอง จะรู้มั้ยว่า วิศวะนี่เขาทำอะไรกัน

เคยดูหนังเรื่อง The Goden Compass มั้ยค่ะ เรื่องที่มีแม่มดสวยหยดขนาดนิโคล คิดแมน ที่คอยจับเด็กไปขัง เพื่อแยกเขาออกจากสัตว์ภูติประจำตัว เพื่อว่าเด็กจะได้เติบโต  ดูแล้วก็ใจหาย คิดถึงเด็กที่ถูกพรากจากความเป็นเด็กก่อนเวลา  แล้วที่น่าใจหายที่สุดแม่มดแสนสวยตามท้องเรื่อง ก็คือคนที่บ้านเขานี่เอง  ว่าแล้วก็…เศร้าจังนะคะ

ด้วยความคารวะแด่อาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2552

1 ความเห็น

 

ภารกิจการรื้อสมบัติที่สะสมไว้ตั้งแต่ย้ายออกจากที่ทำงานยังไม่แล้วค่ะ ยังเหลืออีกสามกล่องแน่ะ

วันไหนที่เริ่มรื้อก็จะต้องดูฤกษ์ ดูทิศทางลม แล้วที่สำคัญมากคือ ก็ระวังตัวอย่าได้เข้าอินเตอร์เน็ตเป็นอันขาด มีสหายที่ได้รู้จักกันในเฟซบุ้ค เธอเรียกเจ้านี่ว่า “เจ้ากรรมนายเวร” ซึ่งก็จริงแท้ๆ  อินเตอร์เน็ตช่วยให้เราเชื่อมโยงกับคนข้างนอก เตือนเราว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก  และรดน้ำให้ใจเราชุ่มชื่น ยามที่ได้รับฟังข่าวหรือแม้ข้อความสั้นๆ จากคนที่รัก  ถ้าวันไหนไม่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำอะไรให้เสร็จละก็ เป็นอันต้องดำผุด ดำว่ายอยู่ใน “สังสารเน็ต”  แล้วก็ไม่เป็นอันต้องทำการอะไรกันต่อ  ก็เพลินไปกับการมีตัวเราในโลกสมมติ โลกที่มีแต่คนน่ารัก คนดี แล้วก็คุยกันอย่างมีมิตรจิตรมิตรใจ  ซึ่งป้าก็เชื่อว่าทุกๆ คน ก็จะมีมุมน่ารักมาออกของในเน็ตกันนะคะ แล้วไม่หลอกด้วย ของจริงทั้งนั้น เพียงแต่คนเราก็ไม่ได้มีด้านเดียวเนอะ ด้านโหดร้าย เศร้า และปี๊ด ก็เก็บไว้ข้างนอก  อินเตอร์เน็ตจึงเป็นทั้งมิตรที่น่ารัก และมันก็เป็นเครื่องดูดเวลาอย่างดีทีเดียว  ดังนั้น ป้าก็จะต้องตั้งเงื่อนไขกับตัวเองไว้ ระหว่างทางกลับจากส่งลูกแล้ว ก็ต้องคิดให้เสร็จว่าวันนี้จะทำอะไรไม่อย่างนั้น ก็เพลิดเพลินไปแล้วจะไม่ได้สาระอะไรแก่โลกเอาเลย อันนี้เป็นบ่อยค่ะ

เมื่อวานก็ตั้งใจเชียวว่าต้องรื้อหนังสือพิมพ์เก่าเก็บอีกซักหนึ่งตั้งค่ะ แล้วก็ได้เจอบทความอันนึง สัมภาษณ์อาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล ไว้ตั้งแต่เดือนเมษา ปี 2551 นู่นแน่ะ อายจังที่ต้องสารภาพว่ายังเก็บกองไว้อยู่เลยน่ะ

บทสัมภาษณ์เรื่องนี้ว่าด้วยการใช้วิถีพุทธ เยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการรุกรานของโลกาภิวัฒน์ค่ะ ก็ที่แปลมาจากคำฝรั่งว่า Globalization นั่นล่ะค่ะ  ซึ่งก็รู้สึกแย้งอยู่เสมอกับคำแปลนี้ว่ามันจะภิวัฒน์ หรือจะวิบัติกันแน่ 

อาจารย์บอกว่า โลกาภิวัฒน์นี่มันก็ดี ทำให้พลโลกเชื่อมต่อกัน ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ไม่มีพรมแดน อุปสรรคที่เคยมีอย่างเรื่องภาษา เรื่องข้อมูลที่หายากเหลือเกิน ก็ง่ายแค่ปลายนิ้ว  เรื่องที่เคยเป็นเคล็ดลับประจำตระกูล ก็พลันมีคนเอามาทำป็นวิดีโอคลิปให้ผู้คนทำตามได้อย่างง่ายๆ  แล้วอย่างเรื่องศาสนาที่อ่านยากอ่านเย็น ก็มีคนขยันเขียนให้อ่านง่าย มีพระสงฆ์ที่ตั้งใจนำความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบ ออกมาบอกกล่าวแก่คนทั่วไปให้ได้พบหนทางออกจากทุกข์ โดยไม่เลือกว่าจะเป็นใคร 

แต่ก็อย่างนั้นเอง มีดีก็มีเสียนะคะ โลกาภิวัฒน์ก็ได้ส่งสารมากระทุ้งให้เราลังเล สงสัย ตั้งคำถามกับวัฒนธรรม ประเพณี นิยามของความดี ที่บรรพบุรุษได้สั่งสอนสืบต่อกันมา  แล้วเราก็เปลี่ยนใจไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะความสะดวก ความสบายที่ติดมาพร้อมกัน ประเพณีที่ทำกันมาร้อยปี คุณธรรมที่ปู่ย่าตาทวดสอนไว้เป็นหลักยึดในการทำอะไรๆ ก็พลันผุเน่าไปอย่างรวดเร็ว และถึงแก่น  เราทำเรื่องผิดให้ถูกได้แบบตาไม่กระพริบ เพียงแต่อ้างว่า ก็ในกฎไม่ได้เขียนห้ามไว้ 

ความเป็นทุนนิยมที่มาพร้อมกับโลกาภิวัฒน์นี่ ดูๆ ไปมันก็มาอย่างปราถนาดี  เขาก็ว่าประชาชนย่อมมีสิทธิเลือกวิถีชีวิตของตัวเองตามแต่ทุนของใครๆ ซึ่งก็ดูดี  แต่บังเอิญ บ้านเรามันเป็นทุนนิยมแบบครึ่งๆ กลางๆ ก็ต้องคำนวนไปตามบัญญัติไตรยางศ์มั้ย ประชาชนก็ย่อมมีสิทธิเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง…ครึ่งเดียว  ที่เหลือ…ก็…แล้วแต่นาย

แล้วก็มีอยู่ท่อนนึงที่อาจารย์พูดเรื่องระบบการศึกษา ที่นายใช้เป็นอาวุธล้างสมอง การเรียนเป็นบัตรผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และชีวิตสบายเหมือนฝัน แล้วจะได้รับรางวัลอย่างที่นายสัญญาไว้ แบบที่เราไม่ต้องเลือก ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา  ป้าก็ชักจะสงสัยว่ารางวัลที่ได้ เป็นผลตอบแทนจากการทำงาน ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา หรือเป็นค่าปิดปากกันแน่

อาจารย์ขมวดไว้ว่า ระบบการศึกษาแบบที่เป็นแค่สัญลักษณ์ พอมาเจอกับกลุ่มคนที่กำลังป้อแป้ทางวัฒนธรรม เราก็ได้ประชากรรุ่นใหม่ค่ะ มีศัพท์คำว่า Culturally Rootless Generation โห แร๊งงงง แปลไม่ถูกเลยทีเดียว แบบว่าพวกไร้รากเลยมั้ย นี่มันยิ่งกว่าพวกเร่ร่อนน่ะ พวกนั้นเขายังมีวัฒนธรรม มีความเชื่อร่วมกัน มีเทือกเถาเหล่ากอ และให้คุณค่ากับเรื่องถูกผิดแน่ชัด มั่นคง  แต่มาบัดนี้ …ไร้ราก… (O_O) อาการแบบนี้ ท่านว่าเป็นมากในหมู่ชนชั้นกลาง และ…พิ…เศษ…สุด  สำหรับเด็กไทยชั้นกลาง จะมีอาการเหมือนโดนมอมยา มึนๆ อยู่กับความสบายเหลือล้น จนไม่รู้ว่าจะหลุดออกมาจากหล่มได้ยังไง

ที่จริงอันนี้ก็ไม่ผิดนะ ใครๆ ก็อยากสบาย แล้วก็อยากให้ลูกหลานสบาย บางคนสบายไปถึงเหลน ถึงลื้อโน่นนนนน ก็ยังไม่ผิด  แต่การเห็นความสบายของตัวเองและบริวารแวดล้อมมากจนเกินขอบเขตนี่ มันนำไปสู่การไม่รับผิดชอบต่อคนอื่นๆ ที่บังเอิญต้องมาอยู่ร่วมโลกนะ  ความอยากกกกที่ต้องสะสมจนเกินพอดี ทำให้คนๆ หนึ่ง ใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ในการหาประโยชน์เข้าตัว และสะสมต่อๆไป ไม่สิ้นสุด  

แต่ฝรั่งว่า No free lunch นะคะ ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ ก็เราอยู่ในทุนนิยมนี่นะ มันก็ต้องว่าด้วยเรื่องรายรับ ต้นทุน ขาดทุน กำไร อยู่แล้ว คนที่เขาใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือหากินนี่ ก็มีต้นทุนต้องจ่ายเหมือนกัน มันเป็นความเหงาอะนะ ความที่ไม่มีใคร แล้วก็ความที่ไม่รู้จะไว้ใจใครได้ ถึงได้ก็นับคนได้ แล้วคนที่นับได้ก็ยังต้องระแวงต่อไปอีก ไม่รู้มันจะเล่นกรูเมื่อไหร่  อันนี้แพงนะคุณ แล้วยิ่งใช้คนอื่นเป็นอุปกรณ์ทำเรื่องที่หลุดไปจากนิยามของความดี ความถูกต้องมากเท่าไหร่  ต้นทุนที่ว่านี่ มันก็คงต้องสูงตามขึ้นไปพอๆ กัน อันนี้ก็คงต้องใช้สมการเอ็กซ์โปเนนเชี่ยนละค่ะ เลขธรรมดาจะตามไม่ทัน

แล้วก็มีผลการวิจัย (ไม่รู้มีสถาบันคิงส์คอลเหลตด้วยมั้ยนะ) ท่านว่าคนเดี๋ยวนี้เค้ามีอาการรวมๆ เรียกว่า “me first ที่คงแปลอย่างอื่นไม่เนียนเท่ากับว่า “กูก่อน” นะคะ เป็นยุคคนหลงตัวเองค่ะ หนูสวย หนูเก่ง หนูเริ่ดค่ะ แล้วก็กินแหลก ใช้ไม่อั้น วันๆ ก็ยุ่งอยู่แต่เรื่องรักๆ เลิกๆ กันอยู่นั่น เขาไม่อดทน และไม่มีความวิริยะ ไม่เอื้ออาทร ไม่สนใจใคร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จะทำประโยชน์ให้ “กู”  แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจว่าบ้านเมืองจะเป็นไปยังไง  แหมมมม ข้อหาเยอะนะนี่ แต่พอดูหนังสือพิมพ์ก็เถียงไม่ออก ไม่เชื่อไปเอามาพลิกดูก็ได้ เล่มไหนก็ได้เลยค่ะ ผลจากการใช้ชีวิตแบบ “กูก่อน”  นี่ ก็คือ ถ้าไม่ได้อย่างที่คิด ไม่สมหวัง ก็เอาไม่อยู่ ก็แรงค่ะ ก็อย่างที่เห็นตามข่าว เด็กเดี๋ยวนี้เค้าเล่นกันแรง แล้วถ้าเล่นใครไม่ได้ ก็เล่นตัวเอง ก็ฆ่าตัวเองไป อะไรไป  ก็แอบดูลูกที่บ้านหน่อยนะคะ ว่าเราปล่อยเขาให้เผชิญอะไรแบบนี้ตามลำพังรึปล่าว

ฟังดูสิ้นหวังเนอะ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ …ถ้าคุณโทรมาเวลานี้…ไม่ช่ายยยย  

อ่านแล้วก็ได้เตือนตัวเอง อาจารย์บอกไว้ค่ะว่ามันก็ต้องแก้ ไม่ต้องหวังใคร ไม่ต้องรอนายจะมาแก้ให้ เราต้องเริ่มเองค่ะ ต้องรื้อฟื้นสติสัมปชัญญะค่ะ ท่านพุทธทาสสอนว่าแค่การใช้ดินสอนี่ ก็ฝึกได้ค่ะ ใช้แล้วก็ปิดฝาเหมือนเดิม เก็บเข้าที่เดิม แบบนี้มีสติได้โดยไม่ต้องหาเวลานั่งหลับตา  เรื่องมันเกิดที่ใจ มันก็ต้องแก้ตรงนั้น ใจมันแกว่งๆ ก็ต้องปรับมันกลับมา ก็ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วก็รับผิดชอบคนรอบๆ ตัวเราให้เสมอกัน แล้วก็คงต้องแก้กันเสียตอนนี้ อย่ารอไว้ค่ะ แบบว่าแปะไว้ก่อน วันหนึ่งกรรมมันก็คงตามเขาทันเอง วันหนึ่งเขาก็ต้องรับผลบุญจากการกระทำของเขาเอง วันนั้น ค่อยมาถล่มกัน "เห็นมะ กรูว่าแล้ว" ไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อยค่ะ วันนั้น เราเองก็คงไม่อยู่ตรงนี้แล้ว อย่าทิ้งอะไรไว้หลังให้คนเขาตามไปสรรเสริญเลยนะคะ  แล้วการรับผิดชอบต่อคนอื่นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันอย่างเดียว การกระทำสำคัญกว่าคำพูดอะไรทั้งหมด สังเกตตัวเองมั้ยค่ะ เวลาฟังใครนี่ เราทำอย่างที่เขาบอก หรือต้องสังเกตท่าทางท่านไปด้วยว่าจะเอาไงกันแน่ว่ะท่าน  นั่นละคะ ญาติมิตรเขาก็มองเราแบบนั้นเหมือนกัน

คนเรานี่ก็มีขึ้นๆ ลงๆ เป็นธรรมดา ก็เรียนรู้จากเรื่องที่เกิด ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะไหน ชนะ หรือแพ้  ถ้าไม่เอาตัวเองไปพันเทปติดไว้ เราจะได้เรียนรู้เสมอล่ะคะ  เวลาเจอเรื่องที่ช่วยได้ เราก็พร้อมจะช่วย  เวลาทุกข์ เราก็เผชิญหน้าได้ ไม่โอดครวญ  เมื่อทำการใดสำเร็จ ก็ไม่ลิงโลดเกินไป แล้วก็พร้อมจะละวางเพื่อให้เกิดสันติ

อาจารย์ทิ้งท้ายไว้ว่า อันนี้มันไม่ใช่เรื่องที่พอจะเป็นโอกาสให้ทำได้ แต่มันต้องลงมือกันแล้วค่ะ  

และแล้ว กองหนังสือพิมพ์เก่าของป้า ก็ยังสูงเท่าเดิม ดันมาเปิดเจอบทความนี้ ในเวลานี้ แหมมมมม้ นี่มันช่างเป็นธรรมจัดสรรเสียจริงๆ  

 

อ่านบทความอาจารย์เสกแบบเต็มๆ ได้ที่นี่ค่ะ Dhamma in the age of globalisation

 

Older Entries